ภัยเสี่ยงของสุนัขและแมวในช่วงเทศกาล

สัตว์เลี้ยงป่วยหนัก มีอาหารต้องห้ามมากมาย

ช่วงปลายปีมีเทศกาลงานรื่นเริงมากมาย ตั้งแต่คืนฮัลโลวีน ลอยกระทง งานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นเวลาแห่งความสนุกสนาน ผู้คนพลุกพล่าน และเสียงอึกทึกครึกโครมอาจเกิดความเสี่ยงทำให้สัตว์เลี้ยงแสนรักตกอกตกใจ การตกแต่งบ้านเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์และจัดงานเลี้ยงอาจทำให้สุนัขและแมวเกิดความเครียด กินขนมหวานหรืออาหารที่เสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ ตกใจหนีเตลิดออกจากบ้าน เจ้าของสัตว์เลี้ยงจำเป็นต้องป้องกันและดูแลให้ปลอดภัย

สาเหตุที่ทำให้สัตว์เลี้ยงป่วยหนัก

เทศกาลเต็มไปด้วยขนมหวาน อาหารบางอย่างและขนมหวานอันโอชะอาจทำให้สัตว์เลี้ยงป่วยหนัก มีอาหารต้องห้ามมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหัวหอม กระเทียม องุ่น ลูกเกด ช็อกโกแลต ลูกอม หมากฝรั่ง ชา กาแฟ หรือแม้แต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ห้ามให้กินเด็ดขาด ช็อกโกแลตเป็นขนมหวานที่มีความเสี่ยงที่สุด ยิ่งเป็นดาร์กช็อตโกแลตที่มีความเข้มข้นของโกโก้สูงส่งผลให้จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติและอาจเกิดอาการชักได้ทั้งสุนัขและแมว เกิดตับอ่อนอักเสบและมีโรคแทรกซ้อนร้ายแรง สิ่งที่อันตรายกับสุนัขมากกว่าช็อกโกแลตคือ ไซลิทอล ซึ่งเป็นสารทดแทนน้ำตาลที่เป็นส่วนประกอบในหมากฝรั่งและลูกอมทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดต่ำ มีอาการชัก และตับล้มเหลวซึ่งเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต อาหารที่ดูไม่น่ามีอันตรายอย่างลูกเกดและองุ่นก็อาจมีผลให้สุนัขบางตัวเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน

หากกินกระดาษห่อลูกอมเข้าไปจะเกิดการระคายเคืองทางเดินอาหารหรือระบบย่อยอาหาร อาจต้องไปพบสัตว์แพทย์เพื่อตรวจและผ่าตัดเอาออก เมื่อจัดปาร์ตี้สัตว์เลี้ยงอาจเข้ามาดื่มแอลกอฮอล์โดยบังเอิญหรือความคึกคะนองของคนบางคน ถ้าดื่มน้อยก็เมา ถ้าดื่มมากพิษแอลกอฮอล์ทำให้ถึงตายได้ หรือแม้จะล้างท้องได้ทันก็ยังเกิดความเสียหายต่ออวัยวะภายในอย่างรวดเร็ว อีกสิ่งที่เป็นอันตรายกับสัตว์เลี้ยงคือถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่ใส่ขนมและของว่างต่าง ๆ เป็นอันตรายต่อสุนัขและแมวที่มุดเข้าไปดมกลิ่นอาหารในถุงพลาสติกแล้วหัวติดอยู่ออกไม่ได้ทำให้หายใจไม่ออก ตายอย่างรวดเร็วและเงียบในเวลาเพียง 3-5 นาที ยิ่งสัตว์เลี้ยงตื่นตกใจจะยิ่งหายใจหอบทำให้ออกซิเจนหมดไปเร็วขึ้น

ถ้าจับสัตว์เลี้ยงแต่งตัวก็ต้องระมัดระวังอย่าให้รัดแน่นเกินไปหรือรุ่มร่ามเป็นอันตรายจนเสี่ยงเดินสะดุดล้มหรือตกจากบันได การแต่งตัวแปลก ๆ คนแปลกหน้ามากมาย และการตกแต่งสถานที่ใหม่ ๆ อาจทำให้สัตว์เลี้ยงหวาดกลัว สัตวแพทย์เตือนว่าเสียงดังถือเป็นภัยคุกคามที่อันตรายที่สุด เสียงพลุและประทัดส่งผลให้สุนัขและแมวเกิดความเครียดและความกลัว ทำให้เกิดปัญหาทางร่างกาย เช่น ท้องร่วงหรืออาเจียน แย่ที่สุดคือสัตว์เลี้ยงหลุดออกจากบ้านหนีเตลิดหลงทางและหายสาบสูญไป ควรจัดให้มีพื้นที่ปลอดภัยและป้องกันเสียงรบกวนได้มากที่สุด อาจเปิดทีวีหรือเล่นเพลงเพื่อกลบเสียงอื่นที่ไม่คุ้นเคย มีของเล่นประจำช่วยคลายเครียด ทำให้สุนัขและแมวสงบสติอารมณ์ ความเครียดน้อยลง ที่สำคัญคือระวังอย่าให้หลุดออกมาจากบ้านได้ เพราะอาจตกใจเตลิดหนีไปและต้องออกติดตามหา

ช่วงเทศกาลที่มีการเฉลิมฉลอง เจ้าของสัตว์เลี้ยงจึงควรอยู่ดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างใกล้ชิด ด้วยเหตุว่าทั้งสุนัขและแมว ต่างก็จำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ด้านความปลอดภัย และได้รับความรักจากเจ้าของอยู่เสมอ

ภัยเสี่ยงของสุนัขและแมวในช่วงเทศกาล

การดูแลสุนัขและแมวหลังคลอด เลี้ยงดูอย่างไร

การดูแลสุนัขและแมวหลังคลอด เลี้ยงดูอย่างไร

สุนัขและแมว เป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่ใกล้กับคนครอบครัวส่วนใหญ่ เป็นเพื่อนเล่นแก้เหงาและคลายเครียดได้ดี แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าเมื่อสัตว์เลี้ยงทั้งสองชนิดนี้ออกลูก แล้วจะต้องดูแลตัวแม่และลูกที่กำลังอ่อนแออย่างไรบ้าง เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากกัน ดังนี้

การเลี้ยงดูสุนัขและแมวหลังคลอด

ส่วนใหญ่ลูกสุนัขและแมวจะเสียชีวิตหลังคลอดได้ง่าย จากการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีอุณหภูมิหนาวเย็นกว่าในตัวแม่ เนื่องจากยังมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม ก็จะติดเชื้อและเสียชีวิตได้ง่าย ดังนั้นหลังจากการคลอดแล้ว จึงต้องดูแลให้ลูกสุนัขและแมวอยู่กับตัวแม่ตลอดเวลา เพื่อกินน้ำนมเหลืองจากเต้าอย่างน้อย 3 วัน เพื่อให้ได้รับภูมิคุ้มกันอย่างเต็มที่ผ่านทางน้ำนม สำหรับแม่สุนัขและแมวที่คลอดด้วยวิธีการผ่าตัด มักจะมีน้ำนมน้อยกว่าปกติ อาจต้องซื้อน้ำนมเหลืองที่เรียกว่า นมคอลอสตุ้ม สำหรับชงให้ลูกสัตว์ทานเพิ่มด้วย

นอกจากนี้ ควรระวังไม่ให้แม่สัตว์นอนทับลูกตัวเอง เจ้าของควรช่วยจัดที่นอนให้กว้างเพียงพอ เสริมผ้าขนหนูเพื่อให้มีความอบอุ่นทั่วถึง นอกจากนี้ โดยธรรมชาติลูกสุนัขและแมวจะได้รับการดูแลจากแม่ โดยเฉพาะเมื่อมีการดูดนมแล้ว ตัวแม่จะเลียที่อวัยวะเพศและก้นลูก เพื่อกระตุ้นให้ขับถ่ายออก แต่หากเจ้าของสังเกตดูไม่เห็นพฤติกรรมดังกล่าว หรือเป็นสัตว์กำพร้า ก็ต้องใช้สำลีชุบน้ำอุ่น ถูที่บริเวณก้นและอวัยวะเพศลูกสัตว์เพื่อกระตุ้นให้ขับถ่าย และทำทุกครั้งเป็นประจำหลังให้นม

ลูกสัตว์หลังคลอดจะดูดนมบ่อยทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งเจ้าของควรชั่งน้ำหนักแล้วบันทึกไว้ โดยเฉลี่ยแล้วน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นวันละ 5-10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมื่อโตอายุได้ประมาณ 4 สัปดาห์ ลูกสุนัขและแมวจะสามารถกินอาหารเปียกบนจานได้ คู่กับการดูดนม ซึ่งเจ้าของต้องดูแลเลือกสูตรอาหารให้เหมาะสมกับช่วงอายุด้วย

สำหรับการดูแลแม่สุนัขและแมวหลังการคลอด ให้สังเกตอาการผิดปกติว่ามีสารเหลวออกมาจากช่องคลอดหรือไม่ ถ้ามีสีแดงหยดออกมาเล็กน้อยเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ที่เต้านมไม่ควรมีอาการเจ็บ จนไม่ยอมให้ลูกดูดนม หรือมีน้ำนมแต่เป็นสีเขียวเหนียวหนืด ซึ่งจะทำให้ลูกสัตว์ท้องเสีย ติดเชื้อตายได้ และที่ต้องสังเกตอีกประการหนึ่ง คือ หากแม่สุนัขและแมวมีอาการซึม มีไข้ตัวสั่น หรือไม่สนใจลูกเท่าที่ควร ก็หมายถึงอาจมีความผิดปกติหรือเจ็บป่วยภายใน ที่ต้องรีบตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด โดยปรึกษากับสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด

การดูแลสุนัขและแมวในช่วงหลังคลอด เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องศึกษาข้อมูลเตรียมไว้ก่อน เจ้าของอาจต้องลางานเพื่อช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด อย่างน้อยประมาณ 3 ถึง 5 วัน ด้วย หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านใส่ใจคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยงให้ดียิ่งขึ้น เพื่อลดความเครียดและลดความเสี่ยงการเสียชีวิตทั้งแม่และลูกสุนัข แมว

การเลี้ยงดูสุนัขและแมวหลังคลอด

การให้อาหารแมวกับสุนัขแตกต่างกันไหม

การให้อาหารแมวกับสุนัขแตกต่างกันไหม

คนที่รักสัตว์และอยากเลี้ยงสุนัขและแมวรวมกันในบ้าน นอกจากต้องจัดระเบียบพื้นที่อยู่อาศัย เพื่อป้องกันโรคติดต่อถึงกันได้แล้ว ยังต้องใส่ใจอาหารที่ให้แก่สุนัขและแมวด้วย ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่สงสัยว่าสุนัขและแมวสามารถกินอาหารประเภทเดียวกันได้หรือไม่ เราจึงได้รวมข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากกันดังนี้

อาหารที่เหมาะสมสำหรับสุนัขและแมว

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า อาหารที่เหมาะสมสำหรับสุนัขและแมวมีความแตกต่างกัน เพราะระบบของร่างกายสัตว์ทั้งสองประเภทนี้ถูกสร้างมาให้มีความแตกต่าง สุนัขจัดอยู่ในประเภทที่กินและย่อยได้ทั้งเนื้อสัตว์และพืชผัก อย่างที่เราเห็นว่าบางครั้งสุนัขก็กินหญ้า แต่แมวจะเป็นสัตว์ที่กินเฉพาะเนื้อเท่านั้น ทำให้ระบบการดูดซึมวิตามิน เผาผลาญและย่อยอาหารแตกต่างกันไป

หากนำอาหารสุนัขซึ่งโดยทั่วไปจะมีราคาถูกกว่ามาให้แมวรับประทาน จะเกิดปัญหาต่อสุขภาพที่สำคัญ ได้แก่

แมวจะขาดวิตามินเอจากอาหาร เนื่องจากสุนัขมีการสังเคราะห์วิตามินเอได้เองจึงไม่ค่อยมีการผสมในอาหารเม็ด แมวที่กินอาหารสุนัขเป็นประจำจะทำให้มีปัญหาเส้นขนที่หยาบกร้าน ดวงตาไม่สามารถมองเห็นได้ดีนักในความมืด

นอกจากนี้ ในอาหารสุนัขยังขาดกรดอะมิโนทอรีน เนื่องจากสุนัขจะสามารถสังเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง หากให้แมวกินบ่อยๆ จะเกิดภาวะขาดกรดอะมิโนชนิดนี้ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ ทำให้แมวเสี่ยงต่อการเป็นหัวใจวายและตายได้ ขณะเดียวกัน ก็ส่งผลให้แมวเกิดภาวะ feline central retinal degeneration (CRD) ซึ่งเป็นโรคของจอประสาทตา ทำให้ตาบอดได้ด้วย

การให้แมวซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อ กินแต่อาหารสุนัข จะทำให้ได้เปอร์เซ็นต์สัดส่วนของโปรตีนที่น้อยกว่าปกติ จึงทำให้กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง ภูมิต้านทานต่ำ ป่วยติดเชื้อเป็นโรคพยาธิต่าง ๆ ทำให้มีอายุสั้นด้วย

ดังนั้นหาก เลี้ยงสุนัข และแมวร่วมกัน ก็จำเป็นจะต้องแยกประเภทอาหาร ซื้ออาหารสุนัขและอาหารแมวที่เหมาะกับช่วงวัยของสัตว์เลี้ยง ถึงจะทำให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์ และเสริมสร้างพัฒนาการตามวัย

สำหรับสุนัขนั้น สามารถที่จะเสริมอาหารเม็ดด้วยผักผลไม้ได้ เนื่องจากระบบการย่อยอาหารของสุนัขจะมีเอนไซม์ทำหน้าที่ย่อยสารอาหารและดูดซึมนำไปใช้ได้

อย่างไรก็ตาม มีอาหารแต่ที่ต้องหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด เช่น กาแฟ โกโก้ช็อกโกแลต ซึ่งมักเป็นส่วนผสมในขนมเค้ก คุกกี้ ขนมปัง ซึ่งจะมีคาเฟอีนอยู่เป็นส่วนประกอบ ทำให้เกิดการกระตุ้นระบบประสาทและเป็นผลเสียต่อระบบไตของสุนัข ทำให้อายุสั้นได้

จะเห็นได้ว่า อาหารสุนัขและแมวมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน การให้อาหารที่ไม่เหมาะสม อาจจะทำให้สัตว์ป่วยถึงขั้นเสียชีวิตได้ ผู้ที่สนใจเลี้ยงสุนัขและแมวจึงต้องศึกษาให้ดีเรื่องของการดูแลสุขภาพ การฉีดวัคซีน รวมถึงการเลือกอาหารที่เหมาะสมกับแต่ละสายพันธุ์ด้วย

อาหารที่เหมาะสมสำหรับสุนัขและแมว

เลี้ยงสุนัขและแมวอย่างไรให้เป็นเพื่อนกัน

เมื่อคุณเลี้ยงสุนัขและแมวที่ไม่กินเส้นกัน ดูเหมือนจะอยู่ร่วมบ้านกันไม่ได้เลย บางครั้งทะเลาะกันบาดเจ็บ ต้องแยกเลี้ยงต่างคนต่างอยู่ให้หมดเรื่องไป หลายคนรู้สึกสงสัยว่าบ้านอื่นที่แมวหมาเข้ากันได้ดีมีเคล็ดลับอะไร นั่นเป็นเพราะเจ้าของมีเทคนิคฝึกสอน และทุ่มเทความรักความอดทนมากมายเพื่อให้สองคู่กัดกลายเป็นเพื่อนซี้กันในที่สุด เป็นธรรมดาที่สุนัขและแมวจะไม่ชอบกัน ไม่รู้เหตุผลแน่ชัด แต่ผู้เชี่ยวชาญการฝึกสอนสัตว์เลี้ยงแนะนำว่ามีหลายวิธีช่วยฝึกให้สุนัขและแมวเข้ากันได้ดี แม้ว่าจะไม่ได้โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก

1. ฝึกทีละตัว

ไม่ว่าจะเป็นแมวหรือสุนัข ควรฝึกฝนทีละตัวจะทำให้สื่อสารกันได้ดีกว่า เรียนรู้ได้มีประสิทธิภาพมากกว่า หากมีสัตว์เลี้ยงคู่ปรับประจันหน้าอยู่ใกล้ ๆ จะทำให้ไม่สบอารมณ์และไม่ทำตามคำสั่งเอาเสียเลย การฝึกฝนต้องใช้ความอดทนและผ่อนคลายซึ่งจะทำให้สัตว์เลี้ยงรู้สึกผ่อนคลายไปด้วย

2.ให้พื้นที่ส่วนตัว

แม้ว่าต้องการแก้ปัญหาสุนัขและแมวทะเลาะกัน แต่ก็ต้องเข้าใจว่าการบังคับให้อยู่ด้วยกันอาจไม่ใช่ทางเลือกที่แก้ปัญหาได้เสมอไป ถ้ามีบางอารมณ์ที่สองฝ่ายเกิดไม่สบอารมณ์กันหรือเปิดศึกขึ้นมา ต้องแยกออกจากกัน กักตัวไว้คนละห้อง อาจต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าสองตัวจะลดความเครียด เนื่องจากแมวเป็นนักปีนควรใช้ประโยชน์จากพื้นที่แนวตั้ง เช่น ชั้นวางของ ตู้หนังสือ เพื่อให้แมวปีนขึ้นไปนอนเฝ้าสังเกตคู่ปรับในระยะที่ปลอดภัยโดยไม่ต้องสัมผัสพื้น

3.ฝึกให้คุ้นกลิ่นกันและกัน

สุนัขและแมวมีประสาทสัมผัสที่ดีควรใช้ให้เกิดประโยชน์ ลองสลับเบาะรองนอน ผ้าเช็ดตัว และของเล่นของสุนัขและแมวเพื่อให้คุ้นกลิ่นของกันและกัน เล่นกับหมาให้กลิ่นติดมือแล้วไปลูบสัมผัสแมว และใช้วิธีเดียวกันกับแมวเพื่อให้คุ้นเคยกันทางอ้อม

4.ให้รางวัลและทำโทษ

หากสุนัขและแมวอยู่ใกล้กันโดยไม่เปิดศึก ให้ขนมเป็นรางวัลกับทั้งคู่ ทำให้สัตว์เลี้ยงพอใจและรู้ว่าอยู่ด้วยกันแล้วก็ไม่เลวร้ายนัก เริ่มรู้สึกเป็นมิตรกันง่ายขึ้น แต่ถ้ามีฝ่ายใดเริ่มแสดงอารมณ์ก้าวร้าวกับอีกฝ่าย ต้องลงโทษและไม่สนใจไปสักพัก ให้รู้ว่าทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม

5.เล่นเกมด้วยกัน

ลองเล่นเกมกับสุนัขและแมวพร้อมกัน มีช่วงเวลาที่ดีเมื่ออยู่ด้วยกัน ทำให้ต่างฝ่ายยอมรับกันมากขึ้น เล่นกันพอหอมปากหอมคอ อย่าให้ฝ่ายสุนัขตื่นเต้นเกินไป เกรงว่าแมวอาจบาดเจ็บได้เพราะสุนัขตัวใหญ่และแรงมาก ส่วนแมวก็อาจสู้กลับเมื่อรู้สึกว่าถูกคุกคาม พยายามฝึกสุนัขให้ใจเย็นและสั่งให้นอนหมอบนิ่ง ๆ ได้เพื่อป้องกันในกรณีที่แมวเริ่มมีอาการกังวล

วิธีช่วยฝึกให้สุนัขและแมวเข้ากันได้ดี

หากไม่ได้เลี้ยงสุนัขและแมวด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก เวลาแนะนำให้รู้จักกันครั้งแรกแบบตัวต่อตัว ควรเว้นระยะห่างที่ปลอดภัย เมื่อสองฝ่ายเข้าใกล้กันมากขึ้น สุนัขส่งเสียงเห่าหรือแมวขู่ฟ่อ ต้องรีบแยกออกจากกัน สุนัขมีสัญชาตญาณของนักล่าที่อดใจวิ่งไล่ขย้ำสัตว์ตัวเล็กกว่าไม่ได้ ส่วนแมวก็มีสัญชาตญาณป้องกันตัวสูง จึงต้องอยู่ในสายตาของเจ้าของตลอดเวลา จนกว่าจะคุ้นเคยกันมากแล้วถึงปล่อยให้อยู่ในห้องด้วยกันเพียงลำพังได้อย่างมั่นใจ

โรคที่สุนัขและแมวเป็นได้ คนรักสัตว์ควรรู้

ปัจจุบันการเลี้ยงสุนัขและแมวเป็นที่นิยมมาก เพราะใช้พื้นที่ไม่มาก และยังทำให้อารมณ์ของผู้เลี้ยงดีขึ้น ลดความเครียดจากการทำงานในแต่ละวันได้ ทั้งนี้ ผู้ที่จะเลี้ยงสุนัขและแมว ควรศึกษาเรื่องโรคที่มักเกิดกับสัตว์ทั้งสองประเภทนี้ เพื่อการระมัดระวังอย่างเหมาะสม ดังนี้

1. โรคฉี่หนูหรือเลปโตสไปโลซีส (Leptospirosis)

เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีหนูเป็นพาหะ อาจมาจากการที่สุนัขและแมวไปวิ่งไล่จับหนู ทำให้ได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย หรือรับเชื้อที่ปนเปื้อนมากับอาหารค้างคืนที่มีมูลหรือฉี่หนูผสมอยู่ หากแมวและสุนัขติดเชื้อนี้ จะทำให้มีอาการซึม เบื่ออาหาร ตาเหลือง ท้องเสีย อาเจียน ปัสสาวะมาก หากมีอาการมากจะสูญเสียน้ำจนเสี่ยงต่อการตายได้ วิธีการรักษาจะต้องได้รับยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียนาน ประมาณ 1 เดือนควบคู่กับการกำจัดหนูบริเวณที่เลี้ยง

2. โรคหนอนพยาธิ (Helminths)

หนอนพยาธิเป็นปรสิตที่มีรูปร่างหลายแบบ ทั้งตัวกลม ตัวแบนและตัวตืด ที่พบได้บ่อย คือพยาธิใบไม้ตับ พยาธิใบไม้ในปอด พยาธิตัวตืด พยาธิตัวจี๊ด ซึ่งมักจะมาจากการที่สุนัขและแมวไปกินอาหารและน้ำที่มีไข่ของหนอนพยาธิมา หรือได้รับผ่านการดูดนมแม่สุนัขหรือแมว การถ่ายพยาธิในช่วงวัยแรกเกิดของสุนัขและแมว จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคพยาธิเหล่านี้ได้ และต้องพาไปหาสัตวแพทย์ทุก 3-6 เดือน เพื่อกินยาถ่ายพยาธิเป็นประจำด้วย

3. โรคติดเชื้อโปรโตซัว Giardia (โรค Giardiasis)

มักมาจากการเลี้ยงในที่แออัด ทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง ซึ่งมักจะมีการเลียอุจจาระและน้ำปนเปื้อนเชื้อเข้าไป ทำให้เชื้อไปแพร่อาศัยอยู่ตามผนังลำไส้ ทำให้สัตว์มีอาการท้องเสีย ถ่ายมีกลิ่นเหม็นเน่า เป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ในการรักษาต้องใช้ยาฆ่าเชื้อประมาณ 1 สัปดาห์ ควบคู่กับการทำความสะอาดบริเวณที่อยู่อาศัยของสัตว์

4. โรคพยาธิหนอนหัวใจ (Heartworm disease)

มาจากยุงเป็นพาหะ โดยจะไปกัดสุนัขแล้วนำเชื้อไปถ่ายทอดต่อให้แก่แมว เมื่อเชื้อเข้าสู่ระยะที่ 4 จะสามารถเคลื่อนตัวเข้าสู่กระแสเลือด แล้วไปเติบโตต่อในอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจและปอด การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การให้กินยาไอเวอร์เมคติน ซึ่งจะต้องใช้สูตรแยกสำหรับสุนัขและแมวโดยเฉพาะ ทั้งนี้ต้องให้โดยสัตวแพทย์เท่านั้น เพราะอาจมีผลข้างเคียง

จะเห็นได้ว่า การเลี้ยงสุนัขและแมวมีโรคที่ต้องใส่ใจเฝ้าระวังอยู่หลายชนิด การฉีดวัคซีนตามอายุและรักษาความสะอาดของสิ่งแวดล้อมที่เลี้ยงจึงจำเป็นมาก และหากมีความผิดปกติใด ๆ ต้องรีบนำไปพบสัตวแพทย์ให้ตรวจรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อช่วยให้สุนัขและแมวมีสุขภาพที่แข็งแรงและอายุยืนขึ้น

โรคที่สุนัขและแมวเป็นได้ คนรักสัตว์ควรรู้

รู้ไหม เลี้ยงสุนัข แมว มีข้อดีอย่างไร

การเลี้ยงสุนัข แมวเป็นที่นิยมมากทั่วโลก เนื่องจากเป็นสัตว์เลี้ยงที่สามารถฝึกฝนให้ทำตามคำสั่งได้ง่าย และยังใช้พื้นที่อาศัยไม่มากจนเกินไป แม้จะอยู่ในคอนโด หอพักก็ยังสามารถเลี้ยงได้

ซึ่งมีการศึกษาวิจัยพบข้อดีของการเลี้ยงสุนัขและแมวหลายประการ ที่เราได้รวบรวมมา เพื่อให้ทุกท่านที่รักสัตว์ได้พิจารณาเลี้ยงสัตว์ทั้งสองประเภทนี้ ดังนี้

1. ช่วยในการลดความเครียด

มีการศึกษาว่า ผู้ที่เลี้ยงสุนัขแมวจะลดความเครียด จากการทำงานได้ โดยเฉพาะคนโสดที่ไม่มีใครช่วยในการพูดคุยผ่อนคลายที่บ้าน การกลับมาได้เล่นกับสุนัขและแมว จะทำให้ได้รู้สึกปลดปล่อยและพักผ่อนสมอง เช่นเดียวกับการดูหนังฟังเพลงอ่านหนังสือเลยทีเดียว

2. ฝึกฝนให้ใจเย็น

สุนัข แมวเป็นสัตว์ที่สามารถฝึกให้ใจคำสั่งได้ โดยจะฟังคำสั่งจากเจ้านายแบบสั้น ๆ เช่น นั่ง คอย หยุด ไป กิน ฯลฯ แต่ทั้งนี้ ต้องอาศัยระยะเวลาในการฝึกฝนและสายพันธุ์ของสัตว์ด้วย การฝึกฝนตั้งแต่เล็ก ๆ ก็จะสามารถเข้าใจคำสั่งได้อย่างมาก โดยทางการแพทย์วิจัยพบว่า สุนัขและแมวสามารถเรียนรู้ได้เท่ากับเด็ก 7 ขวบ หากเจ้าของใจเย็นพอที่จะฝึก ก็ได้ทำให้สุนัข แมวปฏิบัติตามคำสั่งได้ไม่ยากนัก

3. ช่วยให้มีวินัยมากขึ้น

สุนัขและแมวต่างต้องการการออกกำลังกาย เพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง รวมทั้งต้องมีการออกไปขับถ่าย เป็นเวลา นอกสถานที่การเลี้ยงสัตว์ทั้งสองประเภท จึงทำให้เจ้าของต้องมีการตั้งเวลาตื่น เพื่อพาสัตว์เลี้ยงไปขับถ่ายนอกบ้าน ก่อนที่จะไปทำงาน การเลี้ยงสัตว์ทั้งสองประเภทนี้ จะทำให้คุณกลายเป็นผู้ที่มีวินัยมากขึ้นในการจัดการตารางเวลาของตัวเองไปด้วย

4. ช่วยให้รู้จักเก็บออมมากขึ้น

การเลี้ยงสุนัข แมว มีค่าใช้จ่าย เช่น ค่ายา วัคซีน ค่าอาหาร ของเล่น ฯลฯ ซึ่งเจ้าของจำเป็นต้องสำรองไว้ให้เพียงพอตลอดเวลา คุณจะลดการใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็น เช่น ค่าขนมกรุบกรอบ น้ำอัดลม รวมถึงการไปปาร์ตี้ที่จะลดลง เพื่อเป็นเงินออมสำหรับค่าใช้จ่ายของสัตว์เลี้ยงมากขึ้นนั่นเอง

5. ทำให้เป็น Youtuber ได้

ปัจจุบันมีคนจำนวนมากเป็น Youtuber จากการอัดคลิปกับสุนัข แมว ซึ่งมีคนติดตามดูเป็นจำนวนมาก โดยจะมีรายได้จากการโฆษณาและสปอนเซอร์ เช่น อาหารสุนัข เครื่องใช้ทำความสะอาดบ้าน ฯลฯ ที่สำคัญ ยังต่อยอดทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงขายในแบรนด์ตัวเองได้อีกด้วย

จะเห็นได้ว่า การเลี้ยงสุนัขและแมว มีประโยชน์อยู่หลากหลายด้าน ทั้งต่อความสุขทางผู้เลี้ยง ช่วยในการฝึกนิสัยที่ดีในหลายด้าน เช่น การเก็บออม ความขยัน การมีวินัย ฯลฯ และยังสามารถสร้างรายได้จากการทำคลิป Youtube ได้อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้ว คงต้องหาสุนัข แมว มาเลี้ยงบ้างแล้ว

ข้อดีของการเลี้ยงสุนัขและแมวหลายประการ

แปลกไหม ทำไมคนเลี้ยงสุนัขและแมวมีบุคลิกตรงกับสัตว์เลี้ยง

คนเลี้ยงสุนัขและแมวมักจะมีพฤติกรรมแตกต่างกัน สังเกตให้ดีจะรู้ได้ว่าคนไหนเลี้ยงน้องหมา คนไหนเลี้ยงน้องแมว เรื่องนี้นักจิตวิทยาเฉลยว่าไม่ใช่เรื่องแปลก การเลือกประเภทสัตว์เลี้ยงมักจะเข้ากับพฤติกรรมส่วนตัวของเจ้าของ คนเลี้ยงปลาเป็นคนมีความสุขที่สุด คนเลี้ยงสุนัขมักจะเป็นคนมีอารมณ์ขัน เป็นกันเองและเข้ากับคนง่าย คนเลี้ยงแมวมีโลกส่วนตัวและอารมณ์อ่อนไหว ส่วนคนเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลานเป็นคนรักอิสระ นั่นเป็นความเห็นจากการประเมินตนเองแต่สะท้อนให้เห็นบุคลิกที่แตกต่างกัน พูดได้ว่าสัตว์เลี้ยงเป็นภาพสะท้อนของตัวเราเอง

บุคลิกภาพของสุนัขแต่ละสายพันธุ์เหมือนกันไหม ?

หลายคนตั้งข้อสงสัยเรื่องนี้ ถ้าเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ต่างกันจะมีบุคลิกภาพต่างกันหรือไม่ แต่ก็มีงานวิจัยมากมายเกี่ยวกับความแตกต่างทางบุคลิกภาพของคนเลี้ยงสัตว์ที่ค่อนข้างสอดคล้องกัน สามารถทำนายได้ว่าใครเป็นเจ้าของสุนัขหรือแมว คนส่วนใหญ่นิยมเลี้ยงสุนัขมากกว่าแมว แต่หลายคนก็รักทั้งสุนัขและแมว เพื่อให้การแยกความแตกต่างชัดเจน จึงได้มีการสอบถามคนที่เลี้ยงทั้งสุนัขและแมว เช่นเดียวกับคนที่ไม่ชอบสุนัขและแมว

บุคลิกภาพของคนแมวโดยเฉลี่ยเป็นคนขี้อาย โดดเดี่ยว ไม่ยึดติดกับอะไรจริงจัง มีความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์อ่อนไหว ขณะเดียวกันก็ชอบผจญภัย เป็นอิสระและพึ่งพาตนเองได้ มีแนวโน้มที่จะอยู่คนเดียวและพักอาศัยในอพาร์ทเม้นท์มากกว่าคนเลี้ยงสุนัข ผู้หญิงโสดคือบุคคลที่น่าจะเลี้ยงแมวมากที่สุด แต่ก็ขี้กังวลและเป็นโรคประสาทมากกว่าคนเลี้ยงสุนัข อาจเป็นเพราะแมวก็มีนิสัยขี้ระแวงเหมือนกัน จึงไม่ทำให้เจ้าของรู้สึกมั่นใจและปลอดภัยเหมือนกับการมีสุนัขอยู่เป็นเพื่อน

ในทางกลับกันคนเลี้ยงสุนัขจะมีเหตุผล อบอุ่น เป็นกันเอง ชอบเข้าสังคม ชอบแสดงออก เจ้าของสุนัขมีแนวโน้มที่จะเป็นคนเปิดเผย เข้ากับคนง่าย และเป็นมิตรมากกว่าคนเลี้ยงแมว และทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัดเหมือนกับนิสัยของเจ้าตูบ ชอบปลอดภัย และไม่ชอบความเสี่ยง เจ้าของสุนัขมีแนวโน้มที่จะอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทมากกว่า ส่วนคนเลี้ยงแมวจะอาศัยอยู่ในเมืองซึ่งก็สะดวกดีเพราะการเลี้ยงแมวใช้พื้นที่ไม่มาก อยู่ในหอพักเล็ก ๆ ก็เลี้ยงแมวได้

คนเลี้ยงสุนัขมักจะเป็นพวกอนุรักษ์นิยมและมักจะปฏิบัติตามกฎมากกว่าคนเลี้ยงแมว ถ้าเปรียบเทียบกันในแง่การเมืองแล้ว เจ้าของสุนัขมักจะโหวตให้พรรครีพับลิกัน มีนิสัยชอบทำตามกระแส เชื่อฟังและทำตาม ในขณะที่เจ้าของแมวนิยมเลือกพรรคเดโมแครต มีความคิดเป็นของตัวเองและมีแนวโน้มที่จะไม่ลงรอยกับคนอื่น ขณะเดียวกันก็ใจกว้างมากด้วย มีความคิดเปิดกว้าง สนใจสิ่งแปลกใหม่เสมอ คนรักแมวมีความรู้สึกไวและอ่อนไหวส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง แตกต่างจากคนรักสุนัขที่จะเป็นผู้ชายมากกว่า

ความชอบก็เป็นอีกเรื่องที่แตกต่างกัน ตัวอย่างของแฟนคลับวงเดอะบีทเทิล คนรักสุนัขชอบพอล แมคคาร์นีย์ คนรักแมวชอบจอร์จ แฮร์ริสัน นอกจากนั้นยังมีอารมณ์ขันแตกต่างกันด้วย คนรักแมวชอบเรื่องขำขันที่สร้างสรรค์ เพลิดเพลินกับการเล่นคำที่เต็มไปด้วยไหวพริบ ส่วนคนเลี้ยงสุนัขชอบตลกร้ายมากกว่า คนเลี้ยงสุนัขมักจะทนแมวได้แต่คนรักแมวมักจะไม่ชอบสุนัข แล้วตัวคุณเองละเป็นคนแบบไหน

บุคลิกภาพของสุนัขแต่ละสายพันธุ์เหมือนกันไหม

แนะนำสุนัข แมว ยอดนิยมของคนไทยอย่างละ 3 สายพันธุ์

สุนัข แมว คือสัตว์เลี้ยงยอดนิยมสำหรับคนไทยมาช้านาน เพราะสัตว์เลี้ยงทั้ง 2 ชนิดนี้ล้วนเป็นสัตว์เลี้ยงที่สามารถหามาเลี้ยงได้ง่าย การนำมาเลี้ยงยังไม่ข้อกำหนดทางกฎหมายใด ๆ ที่ยุ่งยาก ทำให้มีความแพร่หลายในการเพาะเลี้ยงอย่างกว้างขวาง เกือบทุก ๆ บ้านที่มีสัตว์เลี้ยงก็ล้วนเลือก สุนัข แมว เป็นสัตว์เลี้ยงด้วยกันทั้งนั้น

อย่างไรก็ตามการที่จะนำสุนัข แมว มาเลี้ยงนั้นจำเป็นต้องรู้จักสายพันธุ์ของมันให้ดี เพราะ สุนัข แมว แต่ละสายพันธ์ล้วนมีลักษณะนิสัยพื้นฐานที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงจะขอแนะนำสุนัข แมว แต่ละสายพันธุ์ที่คนไทยนิยมนำมาเลี้ยงตามรายละเอียดดังต่อไปนี้

สุนัข

พันธุ์ชิวาวา เป็นสุนัขขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายของคนไทย เพราะด้วยขนาดกะทัดรัดที่ผู้เป็นเจ้าของสามารถพาไปที่ใด ๆ ก็ได้ตามต้องการแล้ว ยังมีนิสัยขี้อ้อน จนผู้เป็นเจ้าของสุนัขมักใจอ่อนไม่สามารถหยุดเล่นกับมันได้เลย แต่มีปัญหาที่ชอบเห่าเสียงดังจนอาจน่ารำคาญเกินไป

พันธุ์ปอมเมอเรเนียน สุนัขพันธุ์เล็กยอดนิยมอีกหนึ่งสายพันธุ์ ด้วยขนฟู ๆ ที่ตัดแต่งทรงได้หลากหลาย ถือเป็นหมาที่กระตือรือร้นที่จะเล่นอยู่เสมอ แต่ก็มีปัญหาที่ชอบเห่ามากไปหน่อย

พันธุ์บีเกิล สุนัขสายพันธุ์จากประเทศอังกฤษนี้ ถือเป็นสุนัขสำหรับล่าเนื้อที่มีประสาทสัมผัสไวมาก สามารถช่วยเจ้าของสุนัขในการเตือนภัย แต่ในกรณีที่ใช้เฝ้าบ้านอาจต้องระมัดระวังบ้างเพราะเข้ากับคนได้ง่ายเกินไปพันธุ์เปอร์เซีย แมวขนสวยที่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้เลี้ยงแมว

แมว

พันธุ์เปอร์เซีย แมวขนสวยที่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้เลี้ยงแมวเป็นอย่างมาก เพราะต่างหลงใหลในขนยาว ๆ นุ่ม ๆ ของมัน นิสัยขี้เล่นไม่ดุร้ายเท่าใดนัก แต่ความที่เป็นสายพันธุ์ที่มีขนยาวจึงทำให้ยากต่อการดูแลอยู่สักหน่อย

พันธุ์อเมริกันชอร์ตแฮร์ เป็นแมวขนสวยที่ได้รับความนิยมในหมู่เจ้าของแมวไม่น้อย เป็นแมวสายพันธุ์ที่ชอบเคลื่อนที่ตลอดเวลา กระตือรือร้นที่จะเล่น มีความฉลาดและฝึกสอนได้ง่าย

พันธุ์วิเชียรมาศ เป็นแมวสายพันธุ์ไทยที่ได้ชื่อว่าการเลี้ยงเอาไว้จะสร้างมงคลให้กับผู้เป็นเจ้าของ เป็นแมวที่มีความปราดเปรียว ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเอง แต่ไม่ค่อยร้องกวนให้เจ้าของรำคาญใจแต่อย่างใด และด้วยความเป็นสายพันธุ์ไทย จึงทำให้การดูแลโดยผู้เลี้ยงแมวชาวไทยทำได้ง่ายมากกว่าสายพันธุ์ต่างชาติอื่น ๆ

เมื่อทราบนิสัยของสุนัข แมว แต่ละสายพันธุ์แล้ว เชื่อได้ว่าจะช่วยให้ผู้เป็นเจ้าของสามารถดูแลสัตว์เลี้ยงของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง ทำให้สุนัข แมว มีนิสัยที่ร่าเริง สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี

สิ่งที่ต้องรู้ หากคิดจะเลี้ยงสุนัขและแมว

การเลี้ยงสุนัขและแมวเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีหลายพันธุ์ที่ขนาดเล็ก ขนสั้น เลี้ยงในระบบปิดได้สะดวก ทั้งยังมีอุปนิสัยเชื่องกับเจ้าของและไม่ต้องดูแลตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนั้น ยังสามารถสร้างความผ่อนคลายลดความเครียดจากการทำงานให้แก่เจ้าของได้

ในบทความนี้ เราจึงรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจที่ผู้ต้องการเลี้ยงสุนัขและแมวควรรู้ สำหรับการเตรียมตัวอย่างเหมาะสม ดังนี้

1. พื้นที่ในการเลี้ยงมีความแตกต่างกัน สุนัขเป็นสัตว์ที่ต้องการสนามวิ่งเล่นออกกำลังกายมากกว่าแมว ถ้าเลี้ยงอยู่ในพื้นที่แคบระบบปิด เช่น หอพัก คอนโดมิเนียม ก็ต้องเลือกสายพันธุ์ที่ชอบคลุกคลีใกล้ชิดกับคนและมีขนาดเล็ก เช่น ปอมเมเรเนียน ชิวาวา พุดเดิ้ล และต้องมีเวลาพาไปเดินเล่นตามสวนสาธารณะเป็นระยะ

2. พื้นที่สำหรับการขับถ่าย เพื่อสุขอนามัยที่ดี คุณควรนำสุนัขออกไปถ่ายมูลที่สนาม และหากเป็นพื้นที่สาธารณะก็ต้องดูแลในการเก็บ ฝังหรือกำจัดมูลสุนัขด้วย ส่วนแมว หากเลี้ยงตั้งแต่เล็ก ก็สามารถฝึกให้ขับถ่ายในกระบะทรายได้ง่าย โดยต้องมีการเปลี่ยนทรายเป็นประจำ ทั้งนี้กลิ่นของปัสสาวะแมวจะค่อนข้างรุนแรง ควรมีพื้นที่ที่ระบายอากาศได้สะดวกด้วย

3. อาหารสำหรับสุนัขและแมว เป็นสิ่งที่คุณต้องใส่ใจ ทั้งเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการ วันหมดอายุ กลิ่นและรสที่สัตว์เลี้ยงชื่นชอบ ซึ่งปัจจุบันมีการผลิตออกมาหลายรูปแบบ เช่น อาหารเม็ด อาหารเปียกบรรจุกระป๋อง แท่งสติ๊กสำหรับเคี้ยว ฯลฯ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่างกัน ทั้งยังมีแบบพิเศษสำหรับสัตว์ในช่วงป่วย ที่ต้องการสารอาหารเฉพาะโรคในการฟื้นฟูร่างกายด้วย

สิ่งที่ต้องรู้ หากคิดจะเลี้ยงสุนัขและแมว

4. การอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงสองชนิดนี้มีความแตกต่างกัน คือ สำหรับสุนัขควรอาบน้ำให้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ส่วนแมวเดือนละ 1 ครั้งก็เพียงพอแล้ว และหลังจากการอาบน้ำ ควรทำการเป่าขนสัตว์ให้แห้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อราจากความชื้นที่ผิวหนังและเกิดปัญหาขนร่วงในภายหลัง

5. การพบสัตวแพทย์และฉีดวัคซีนสุนัขและแมวตามระยะ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตามวัย ทางที่ดีที่สุด ควรนำสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์ตั้งแต่อายุน้อย เพื่อทำประวัติการตรวจ และฉีดวัคซีน รวมถึงกินยาถ่ายพยาธิตั้งแต่เนิ่น ๆ หลังจากนั้น ควรพาไปพบสัตวแพทย์เป็นระยะตามปฏิทินวัคซีน รวมถึงต้องฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าเป็นประจำทุกปีด้วย เพื่อป้องกันการติดเชื้อไปสู่สัตว์ชนิดอื่นและคน

จะเห็นได้ว่าการดูแลสัตว์เลี้ยงแม้แต่สุนัขและแมวที่เราคุ้นเคย ก็ต้องมีความรับผิดชอบสูง จึงควรศึกษาข้อมูลและเตรียมความพร้อมทั้งด้านสถานที่ อุปกรณ์เครื่องใช้ของสัตว์เลี้ยง รวมถึงเงินสำรองสำหรับค่าอาหาร ยา วัคซีน ฯลฯ เพื่อให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพที่ดีแข็งแรงได้ยาวนาน

ชวนทำความรู้จักโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัขและแมว

โรคพิษสุนัขบ้า หรือเรียกกันทั่วไปว่า โรคกลัวน้ำ นั้น เกิดจากเชื้อไวรัส Rabies เป็นโรคติดต่อในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เช่น สุนัข แมว ค้างคาว ลิง กระรอก กระแต รวมถึงคนด้วย ซึ่งหากดูด้วยกล้องจุลทรรศน์จะพบว่าเชื้อไวรัสชนิดนี้มีรูปร่างคล้ายกับกระสุนปืน เมื่อสัตว์ที่มีเชื้อนี้กัดคนหรือสัตว์อื่น จะทำให้เกิดการส่งต่อเชื้อไวรัสเข้าสู่ระบบประสาทอย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบันไม่สามารถรักษาได้ คนหรือสัตว์ที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้าจึงเสียชีวิตในเวลาไม่กี่วัน

จากสถิติทางการแพทย์ พบว่าคนส่วนใหญ่จะได้รับเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้า ผ่าน 3 ช่องทาง คือ

1. ถูกสัตว์ที่ติดเชื้อกัดหรือข่วน

2. ถูกสุนัขและแมวที่มีเชื้อโรคนี้เลียตามรอยแผลของผิวหนัง (เชื้ออาศัยอยู่ในน้ำลายสัตว์)

3. สูดดมอากาศที่มีเชื้อปริมาณมากในพื้นที่จำกัด เช่น ถ้ำที่มีค้างคาวอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก

วิธีการสังเกตสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้า

ในระยะ 2- 3 วันแรกของการติดเชื้อ สุนัขและแมวมักจะมีอารมณ์และอุปนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น เดิมชอบอยู่คลุกคลีใกล้กับเจ้าของ ก็จะย้ายไปอยู่ในมุมเงียบ ๆ ตัวเดียว หรือถ้าเคยมีนิสัยขี้กลัว ก็จะมาคลอเคลียใกล้ชิดเป็นพิเศษ เป็นต้น นอกจากนั้น ยังสังเกตได้ว่ามีไข้เล็กน้อย ม่านตาเบิกกว้าง กินอาหารและน้ำลดลง เนื่องจากการควบคุมการลิ้นเริ่มผิดปกติ
หลังจากนั้น สุนัขและแมวจะเริ่มมีอาการกระวนกระวาย อยู่ไม่สุข ตื่นตัว และมักกัดสิ่งที่อยู่รอบตัว (ถ้ามีการล่ามโซ่ก็จะกัดจนเลือดไหลออกจากปาก) ขณะเดียวกันก็จะร้องหอนมากขึ้นจนผิดสังเกต

วิธีการสังเกตสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้า

ในระยะสุดท้าย เรียกว่า ระยะอัมพาต กรณีที่เป็นสุนัข ลิ้นจะสีแดงคล้ำและห้อยออกมานอกปาก น้ำลายไหลมาก ไม่สามารถควบคุมลิ้น มีอาการคล้ายจะขย้อนสิ่งที่อยู่ในลำคอเกือบตลอดเวลา และไม่สามารถทรงตัวได้ สำหรับแมว อาการอาจไม่ชัดเจนอย่างสุนัข แต่จะสังเกตได้ว่ามีความดุร้ายมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไป สัตว์ที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้า มักจะตายในเวลาไม่เกิน 10 วัน

วิธีการป้องกันการติดเชื้อพิษสุนัขบ้า คือ การระมัดระวัง ไม่ให้แมวหรือสุนัขที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนหรือไม่มีเจ้าของ มาข่วนหรือกัด ถ้าเกิดแผลจากสัตว์เหล่านั้น ต้องรีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาด ถูสบู่หลาย ๆ ครั้ง เช็ดด้วยแอลกอฮอล์หรือใส่ยาฆ่าเชื้อเบตาดีน แล้วไปพบแพทย์ เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าต่อไป ทั้งนี้ ต้องทำการฉีดวัคซีนให้ครบตามแพทย์นัดด้วย จึงจะปลอดภัยที่สุด อีกทั้งให้สังเกตอาการสัตว์ตัวนั้นในช่วง 10 วัน หากตายลง ต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ เพื่อสำรวจและควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าในพื้นที่ต่อไป