ข้อควรระวัง ดูแลสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงช่วงอากาศหนาวเย็น

ข้อควรระวัง ดูแลสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงช่วงอากาศหนาวเย็น

ช่วงฤดูหนาวในหลายท้องถิ่นอากาศหนาวเย็นเข้ากระดูกจริง ๆ ถึงเวลารื้อค้นเสื้อกันหนาวและผ้าห่มอุ่น ๆ สำหรับสมาชิกครอบครัว แม้แต่ตัวสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงขนปุยอื่น ๆ ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเผชิญกับความเย็นเช่นเดียวกัน

สัตว์เลี้ยงหลายสายพันธุ์มีขนค่อนข้างหนาดูเหมือนความปุกปุยจะช่วยปกป้องตัวจากความหนาวเย็นได้ดี แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น แม้เพียงลมหนาวพัดโชยมาหรือวันฝนตกอุณหภูมิต่ำกว่าปกติก็หนาวตัวสั่นแล้ว จำเป็นต้องพิจารณาทั้งขนาดตัวและลักษณะความยาวของขนด้วย เจ้าของควรสังเกตว่าอากาศหนาวเย็นส่งผลต่อสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ อย่างไร

สิ่งที่เห็นบ่อยคือผิวหนังมีลักษณะแห้งและคันในช่วงฤดูหนาวเช่นเดียวกับคนเรา สุนัขขนยาวที่เคยอาบน้ำบ่อยควรเลี่ยงการอาบน้ำในฤดูหนาวให้น้อยที่สุด อาจใช้น้ำยาเช็ดทำความสะอาดขนแทนและใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าวปริมาณเล็กน้อยลงในอาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อบำรุงเส้นขนให้ชุ่มชื้น นุ่มสลวย รักษาผิวหนังอักเสบ ลดรังแค และลดอาการคัน หรือให้กินปลาทะเลเพิ่มกรดไขมันประเภทโอเมก้า 3 ช่วยบำรุงเส้นขนได้เช่นกัน

สำหรับคนที่เลี้ยงแมวหรือสุนัขไว้นอกตัวบ้านกังวลว่าสัตว์เลี้ยงจะหนาวสั่นอยู่ข้างนอก การสวมเสื้อผ้ากันหนาวเป็นทางเลือกที่ดี มองหาในร้านขายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงใกล้บ้านว่ามีชุดเสื้อกันหนาวเหมาะกับขนาดตัวสัตว์เลี้ยงหรือไม่ การสวมเสื้อกันหนาวในครั้งแรกรับรองได้ว่าต้องเจอปฏิกิริยาขัดขืนรุนแรงแม้จะฝึกกันมาดีแล้วหรือหนาวจนตัวสั่นก็ยังไม่ยอมสวมเสื้อง่าย ๆ ก่อนอื่นควรหยิบเสื้อมาให้ดูและดมจนคุ้นเคยกับกลิ่นแล้วฝึกวางบนตัว 2-3 นาทีวันละหลายครั้งแต่ยังไม่ต้องบังคับสวม รอให้ผ่านไปสองวันแล้วค่อยตะล่อมให้เริ่มรู้สึกสบายใจ จากนั้นรีบสวมจากด้านบนศีรษะอย่าให้มองเห็นต่อหน้าทำให้สวมง่ายขึ้น

แนะนำให้ฝึกสวมเสื้อกันหนาวตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัข เลือกเสื้อผ้าที่สวมง่าย ไม่รัดหรือหลวมเกินไป เริ่มจากเสื้อคลุมที่เปิดหน้าท้องโล่งทำให้เกิดสะดวกไม่สะดุด ลองสวมประมาณ 1 นาทีระหว่างนั้นให้ชมเชยและให้รางวัล จากนั้นถอดเสื้อผ้าออก ฝึกฝนไปเรื่อย ๆ สัตว์เลี้ยงจะเกิดความคุ้นเคยเอง

หากต้องเดินทางไปไหนต่อไหนและนำสัตว์เลี้ยงติดตัวไปด้วย ควรทราบว่าในพื้นที่ที่อากาศหนาวเย็นอุณหภูมิภายในรถยนต์อาจไม่ต่างจากตู้เย็น ควรระวังเรื่องทิ้งแมวและสุนัขไว้ในรถยนต์กลางแดดที่ร้อนจัดอย่างไร ก็ต้องระวังในขณะอุณหภูมิหนาวเย็นเช่นกัน สัตว์เลี้ยงอาจเจ็บป่วย เป็นไข้ และช็อกตายเนื่องจากภาวะอุณหภูมิต่ำกว่าปกติ แมวได้ชื่อว่าทนอากาศหนาวได้ดีกว่าสุนัข แต่มักจะเกิดปัญหากรณีที่แมวคลานเข้าไปหาที่อบอุ่นในเพิงที่อันตรายและแอบซ่อนอยู่ในฝากระโปรงรถ ควรเคาะให้แมวหนีออกมาก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อความปลอดภัย

3 ข้อดีที่สำคัญของการมีสุนัข แมวในชีวิตเรา

3 ข้อดีที่สำคัญของการมีสุนัข แมวในชีวิตเรา

สุนัข แมว เป็นเพื่อนผู้ซื่อสัตย์สำหรับทุกครอบครัว และเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมอันดับต้น ๆ ที่คนทั่วโลกเลี้ยงไว้ในบ้าน ด้วยความน่ารักของอุปนิสัยและรูปร่าง-สีสัน ที่เราเลือกได้ตามสายพันธุ์ที่ชอบ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือข้อดีที่เรานำมาเสนอ 3 ข้อ ดังนี้

1.ช่วยให้คลายเครียดและให้ความอบอุ่นใจ
ความเครียดเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้เลย เพราะเราทุกคนเชิญหน้ากับปัจจัยที่กระตุ้นให้สารแห่งความเครียดหลั่งในสมองได้ทุกวัน ไม่ว่าจะรถติดไปทำงานแทบไม่ทัน การทำงานที่เคร่งเครียดต้องทำตามเป้าหมายที่สูงขึ้น การแข่งขันในวัยเรียน การเร่งหารายได้ให้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ฯลฯ เมื่อกลับมาถึงบ้าน ไม่ว่าใครก็ตามที่เห็นสุนัขและแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงของตัวเองเข้ามาคลอเคลียและแสดงอาการดีใจที่เจ้านายกลับมา ย่อมต้องยิ้มออก แล้วก็รู้สึกดีที่ยังมีใครสักคนรอเราอยู่ที่บ้าน ถึงแม้จะเป็นสุนัขและแมว แต่เขาก็เปรียบเหมือนเพื่อนสนิทที่รู้ใจและไม่เคยทำร้ายเรา

2.ลดปัญหาซึมเศร้าและทำให้เห็นคุณค่าในตัวเอง
คนที่อยู่ตัวคนเดียวแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต โดยเฉพาะหากอยู่ในช่วงชีวิตขาลง เช่น อกหัก สอบตก พ่อแม่เสียชีวิต ฯลฯ จะทำให้คิดฟุ้งซ่านได้ การมีสุนัขหรือแมวที่เลี้ยงและผูกพันกันมา จะเปรียบเหมือนยาที่ดีที่สุด เพราะเราจะรู้สึกตัวเองว่ายังมีคุณค่าในการมีชีวิตอยู่เพื่อดูแลเขาเหล่านั้น หลายคนที่เคยคิดจะฆ่าตัวตาย แต่เมื่อได้คลุกคลีและดูแลสัตว์เลี้ยงเหล่านี้นาน ๆ เข้า ก็จะรู้สึกถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ และหันมาทำสิ่งดี ๆ ให้กับตัวเองและสังคมมากขึ้น

3.สร้างรายได้ให้คนเลี้ยง
การสร้างรายได้ที่มาจากสัตว์เลี้ยง ไม่จำเป็นต้องเป็นการเพาะพันธุ์เป็นฟาร์มสุนัขหรือฟาร์มแมวขายเท่านั้น แต่ยังหมายถึง การแบ่งปันความสุขให้กับผู้อื่น ด้วยการถ่ายคลิปวิดีโอที่ตัวเองเล่นกับสุนัข หรือ กิริยาท่าทางต่าง ๆ ของแมวที่มีความเป็นธรรมชาติ คนส่วนใหญ่จะชอบดูคลิปสุนัขและแมว เพราะรู้สึกผ่อนคลาย อย่าลืมว่า ไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ เขาจึงชื่นชอบที่จะดูคลิปมากกว่า จุดนี้เองจึงเป็นการสร้างรายได้ขึ้นมา หากคุณอัปโหลดคลิปขึ้นระบบ YouTube หรือ Facebook และ website ก็จะมีผู้ติดตาม และมีรายได้จากสปอนเซอร์ตามมาได้

การมี สุนัข แมว เป็นเพื่อนนั้น มีข้อดีหลายอย่าง แต่ก่อนจะเลี้ยงต้องคำนึงถึงข้อจำกัดด้วย เช่น ความพร้อมของสถานที่ เวลาที่มีให้ เงินที่พร้อมจ่ายเพื่อค่ายา อาหารและวัคซีน ฯลฯ และยังต้องดูแลไปจนหมดสิ้นอายุขัยที่ประมาณ 10 ปีด้วย หากคุณคำนึงถึงทั้งสองส่วนนี้แล้วยังยืนยันที่จะเลี้ยง เราก็เชื่อมั่นว่าคุณจะได้รับความสุขในทุก ๆ วันจากการเลี้ยงสุนัข แมวเป็นเพื่อนอย่างแน่นอน

บอกลาปัญหาหมาแมวไม่ถูกกันด้วยวิธีง่าย ๆ ที่คนรักสัตว์ต้องทำตาม

บอกลาปัญหาหมาแมวไม่ถูกกันด้วยวิธีง่าย ๆ ที่คนรักสัตว์ต้องทำตาม

ปัญหาหมาแมวไม่ถูกกัน นับเป็นปัญหาใหญ่ที่คนเลี้ยงสัตว์ต้องเจอ และหากกำลังเผชิญปัญหานี้ ขอแนะนำวิธีช่วยบอกลาปัญหาน้องหมาและน้องแมวไม่ถูกกัน รับรองว่าทำตามได้ง่าย คนรักสัตว์ต้องชอบแน่นอน

1.เตรียมตัวให้พร้อมก่อนพามาเจอกัน
หากต้องการบอกลาปัญหานี้ บอกเลยว่าต้องเริ่มต้นจากเจ้าของสัตว์ก่อน เพราะต้องแน่ใจว่าพร้อมจริง ๆ สำหรับการเลี้ยงเจ้าสุนัขและแมว นอกจากนี้ยังต้องเตรียมบริเวณบ้านให้พร้อมสำหรับการพาสัตว์ทั้งสองชนิดมาอยู่ด้วย นั่นคือ ควรมีห้องอย่างน้อยสองห้อง เพราะการทำความรู้จักกันระยะแรกจำเป็นต้องแยกสัตว์ทั้งสองชนิดนี้ออกห่างกันนานพอสมควร

2.เริ่มต้นทำความรู้จักกันผ่านกลิ่น
ได้เวลาพาน้องหมาและน้องแมวทำความรู้จักกัน เริ่มต้นควรทำความรู้จักผ่านกลิ่นไปก่อน เพราะสัตว์จะทำความคุ้นเคยผ่านกลิ่น โดยควรแยกสัตว์ทั้งสองชนิดให้อยู่คนละห้องกัน จากนั้นลูบตัวแมวเบา ๆ ก่อนนำมือนั้นมาลูบที่ตัวสุนัข จากนั้นทำเช่นเดียวกัน นั่นคือลูบตัวสุนัขและมาลูบตัวแมว เพื่อให้ทั้งสองเริ่มได้กลิ่นกันและกัน เมื่อทำไปสักระยะแนะนำให้สลับห้อง โดยให้สุนัขไปอยู่ในห้องที่แมวเคยอยู่และนำแมวมาอยู่ในห้องที่สุนัขเคยอยู่ ซึ่งจะทำให้คุ้นเคยกลิ่นกันมากขึ้น

3.พามาเจอกันในช่วงเวลาผ่อนคลาย
หลังจากสลับห้องกันแล้ว อย่าลืมสังเกตว่าสุนัขและแมวมีอาการฉุนเฉียวเมื่อได้กลิ่นฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ ซึ่งหากยังมีอาการควรใช้วิธีสลับห้องอีกสักระยะ แต่หากสังเกตว่าน้องหมาและน้องแมวมีอาการผ่อนคลาย แนะนำให้ลองพามาเจอหน้ากัน โดยอาจใช้เวลาเพียง 10-15 นาที แต่ช่วงเวลานี้ควรสังเกตด้วยว่าทั้งสองฝ่ายมีอาการตื่นกลัวหรือฉุนเฉียวหรือไม่ จากนั้นจึงค่อยแยกกันอยู่เหมือนเดิม

4.เพิ่มเวลาเจอหน้ากันทีละนิด
หากการเจอหน้ากันครั้งแรกไปได้สวย ไม่มีอาการฉุนเฉียว ครั้งต่อไปให้เพิ่มเวลาทีละนิด เช่น 20-30 นาที โดยครั้งนี้อาจเผชิญหน้ากันตรง ๆ โดยควรอุ้มแมวไว้ ส่วนสุนัขก็ควรใช้สายลากจูง เพราะหากว่าปะทะกันเมื่อไหร่จะได้ห้ามได้ทัน โดยการเจอกันแต่ละครั้งควรควบคุมสถานการณ์ไม่ให้รุนแรง เพราะทั้งสองฝ่ายอาจกลายเป็นคู่อริกันได้

5.พาน้องแมวเข้าบ้านก่อนน้องหมา
หากเป็นไปได้แนะนำให้พาน้องแมวเข้าบ้านก่อนสุนัข เนื่องจากสุนัขมีสัญชาตญาณจ้าถิ่นและหวงอาณาเขต การพาน้องแมวเข้าบ้านก่อนจะทำให้น้องหมาปรับตัวได้ง่าย ที่สำคัญตลอดเวลาที่เลี้ยงควรให้ความรักเท่ากัน เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดรู้สึกอิจฉา

คนรักสัตว์คนไหนที่ต้องการเลี้ยงน้องหมาและน้องแมวด้วยกัน แนะนำให้วางแผนดี ๆ เพื่อสอนให้สัตว์ทั้งสองชนิดเป็นมิตรกันมากขึ้น รับรองว่าถ้าสุนัขและแมวไม่หาเรื่องทะเลาะกันบ่อย ๆ จะช่วยทำให้คนรักสัตว์เลี้ยงสัตว์ทั้งสองชนิดได้อย่างสบายใจมากขึ้นแน่นอน

สุนัข แมว เป็นโรคอ้วน อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

คุณเคยสงสัยไหมว่า สุนัข แมว ตัวกลมน่ากอดของคุณเป็นโรคอ้วนหรือเปล่า แมวเป็นโรคเบาหวาน สุนัขป่วยโรคมะเร็ง นกมีคอเลสเตอรอลสูง หรือแม้แต่กระต่ายที่ก้มลงเลียขนทำความสะอาดตัวเองไม่ได้ ทุกตัวเป็นโรคอ้วนเหมือนกันหมด เกิดจากสาเหตุใดกันแน่ น้ำหนักเกินและโรคอ้วนเป็นปัญหาใหญ่ ปัญหานี้พบมากในประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก

ดร. เออร์นี วอร์ด สัตวแพทย์ ผู้ก่อตั้งสมาคมป้องกันสัตว์เลี้ยงที่น่าสงสาร อธิบายว่า เรากำลังเผชิญปัญหาใหญ่ เพราะสัตว์เลี้ยงเกือบทั้งหมดในสหรัฐมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน สถิติล่าสุดเห็นชัดว่าสุนัขประมาณ 54% และแมว 59% มีพิกัดน้ำหนักเกินมาตรฐาน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสัตว์เลี้ยงเป็นโรคอ้วนแล้ว สำหรับสัตว์เลี้ยงทั่วไป เช่น สุนัข แมว แนะนำให้ดูไขมันหน้าท้อง ถ้าพุงย้วย ท้องห้อยหรือลากบนพื้น จับคลำไม่เจอซี่โครง มีแต่ชั้นไขมันนุ่ม ไม่เห็นเอว เริ่มส่อเค้าปัญหาโรคอ้วนแล้ว แต่ถ้าเป็นสัตว์แปลก เช่น นก กระต่าย หรือหนูตะเภา อาจจะสังเกตยาก ต้องไปหาสัตว์แพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์แปลกโดยเฉพาะ

การตรวจสอบว่าสัตว์เลี้ยงมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนหรือไม่ สัตวแพทย์ประเมินด้วยวิธีเช็คน้ำหนักส่วนเกิน เรียกว่า Body Condition Score หรือ BCS ซึ่งแบ่งความสมบูรณ์ของร่างกายออกเป็นระดับ อ้วนเกินไปไม่ได้และผอมเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน ทุกวันแมวเซเลบล้วนอ้วนท้วนน่ากอด ทำให้เจ้าของหลายคนบ่นกับสัตวแพทย์ว่า น้องผอมเกินไป ทำยังไงดี ทั้งที่จริง สุนัข แมว นั้นมีสุขภาพสมบูรณ์กำลังดี คุณอาจไม่รู้ว่าหมาแมวอ้วนที่ต้องควบคุมอาหารและลดความอ้วนนั้นเป็นงานหนัก เวลาเดินจะเห็นความลำบาก เหนื่อยง่าย เพราะพกน้ำหนักและไขมันส่วนเกินในช่องท้องไว้ตลอดเวลา ถ้าเจ้าของไม่ดูแลอย่างถูกวิธีจะอ้วนได้กระทั่งกระต่ายและนก น่าเศร้าที่สุดคือสัตว์เลี้ยงที่อ้วนจนยืนไม่ไหว ได้แต่นั่งหรือนอนหมอบอยู่ท่าเดียว ไม่คล่องตัว ไม่ปราดเปรียวและซุกซนเหมือนแต่ก่อน

โรคอ้วนในสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

สัตว์น้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และไม่น่ารัก เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้อายุสั้น การรักษาก็เสียเวลาและราคาแพง ละลายทรัพย์ในกระเป๋าสตางค์ไปไม่น้อย สัตว์เหล่านั้นจะทุกข์ทรมานจากน้ำหนักเกิน อาจเป็นโรคเบาหวาน , โรคความดันโลหิตสูง , โรคไต , โรคมะเร็ง , โรคกระดูกและข้ออักเสบจะเห็นความผิดปกติที่พบได้บ่อยคือโรคข้อเข่าเสื่อมทำให้เจ็บปวดและเป็นอัมพาตได้ สำหรับสัตว์เลี้ยงที่แปลก เช่น นก อาจเกิดปัญหาโรคหัวใจและแพทย์ไม่สามารถผ่าตัดหัวใจได้ ดังนั้นเจ้าของควรจะป้องกันและจัดการควบคุมน้ำหนักสัตว์เลี้ยงให้ดี ถ้า สุนัข แมว เริ่มอวบอ้วนเกินมาตรฐาน ควรพาไปตรวจเลือดและตรวจสุขภาพ ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายที่เหมาะสมเช่นเดียวกับ เพื่อลดน้ำหนักส่วนเกินและรักษาร่างกายให้แข็งแรง

แนะนำว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงควรทำตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ว่าจะให้อาหารแก่สัตว์เลี้ยงปริมาณมาน้อยขนาดไหน หากทนเสียงออดอ้อนไม่ไหว อาจทดแทนด้วยของว่าง เช่น แครอท , ถั่วเขียว , ผักกาดหอมหรือผักอื่นๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ เจ้าของต้องพาสัตว์เลี้ยงไปออกกำลังกาย กระตุ้นให้ตื่นเต้นและวิ่งสนุกไปรอบ ๆ ช่วยให้แข็งแรงและคุณภาพชีวิตดีขึ้น คุณควรสอบถามเรื่องน้ำหนักสัตว์เลี้ยงทุกครั้งที่ไปพบสัตวแพทย์ ถ้าแพทย์ท่านใดละเลย ไม่ต้องการจะคุยเรื่องนี้ ให้หาสัตวแพทย์คนใหม่ได้เลย

สุนัขเป็นโรคอ้วน