10 สถานสงเคราะห์สัตว์ในประเทศไทย ปี 2567 ที่คนรักสุนัขและแมวไม่ควรพลาด

10 สถานสงเคราะห์สัตว์ในประเทศไทย ปี 2567 ที่คนรักสุนัขและแมวไม่ควรพลาด

1.มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย – ภูเก็ต: ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2546 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงสวัสดิภาพของสุนัขและแมวจรจัดในประเทศไทย พวกเขามีโปรแกรมการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม การทำหมัน และการรักษาพยาบาลสำหรับสัตว์ที่ต้องการความช่วยเหลือ

2.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ไทย – กาญจนบุรี: เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศไทย เพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูสุนัขและแมวจรจัด โดยมีสถานที่ปลอดภัยและการดูแลทางการแพทย์แก่สุนัขและแมวจรจัด

3.Rescue Paws – หัวหิน: ที่พักพิงแห่งนี้มุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือและฟื้นฟูสุนัขและแมวข้างถนนในพื้นที่หัวหิน พวกเขายังดำเนินโครงการเข้าถึงชุมชนเพื่อให้ความรู้แก่คนในท้องถิ่นเกี่ยวกับสวัสดิภาพสัตว์

4.The Man That Rescues Dogs – เชียงใหม่: สร้างชื่อเสียงจากหนังสือชื่อเดียวกัน ที่พักพิงแห่งนี้ช่วยเหลือและดูแลสุนัขจรจัดในภูมิภาคเชียงใหม่ มอบโอกาสให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นผ่านการรับเลี้ยง

5.มูลนิธิช่วยเหลือชุมชนกรุงเทพ (BCH): BCH ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ดำเนินงานสถานสงเคราะห์สำหรับสัตว์จรจัดและถูกทอดทิ้ง โดยจัดให้มีการดูแลทางการแพทย์ อาหาร และที่พักพิงจนกว่าพวกมันจะสามารถรับเลี้ยงไว้ในบ้านแสนรักได้

6.Headrock Dogs Rescue – ประจวบคีรีขันธ์: ศูนย์พักพิงแห่งนี้ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย เพื่อช่วยเหลือ ฟื้นฟู และจัดหาบ้านให้กับสุนัขจรจัด โดยมุ่งเน้นที่การจัดหาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและการเลี้ยงดูให้กับพวกมัน

7.สหพันธ์สัตว์พัทยา: พันธมิตรคนรักสัตว์ที่ให้บริการในพื้นที่พัทยาแห่งนี้ ดำเนินธุรกิจที่พักพิงสำหรับสัตว์ที่ถูกทิ้งและถูกทารุณกรรม รวมถึงสุนัขและแมว พวกเขายังดำเนินโครงการทำหมันและทำหมันเพื่อควบคุมประชากรสัตว์ในท้องถิ่นด้วย

8.สมาคมสวัสดิภาพสัตว์ภูเก็ต (PAWS): PAWS ดำเนินกิจการศูนย์พักพิงและการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมในจังหวัดภูเก็ต โดยให้การดูแลสุนัขและแมวจรจัดและถูกทอดทิ้ง พวกเขายังให้บริการทำหมันและทำหมันเพื่อลดจำนวนสัตว์จรจัดอีกด้วย

9.สวัสดิภาพสัตว์ลันตา – เกาะลันตา: ที่พักพิงแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะลันตา ช่วยเหลือและฟื้นฟูสัตว์จรจัด รวมถึงสุนัขและแมว และทำงานเพื่อส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์ผ่านโครงการให้ความรู้ในชุมชน

10มูลนิธิช่วยเหลือสุนัขและแมวสันติสุข – เชียงใหม่: อุทิศให้กับการปรับปรุงชีวิตของสัตว์จรจัดในภาคเหนือของประเทศไทย ที่พักพิงแห่งนี้ช่วยเหลือ ฟื้นฟู และดูแลสุนัขและแมวให้อยู่ใหม่ ในขณะเดียวกันก็ดำเนินโครงการริเริ่มด้านการศึกษาเพื่อส่งเสริมการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงอย่างมีความรับผิดชอบ

ศูนย์พักพิงเหล่านี้ให้บริการที่สำคัญสำหรับประชากรสัตว์จรจัดในประเทศไทย และเปิดโอกาสให้คนรักสัตว์ได้สนับสนุนความพยายามของพวกเขาผ่านการเป็นอาสาสมัคร การบริจาค หรือการรับเลี้ยงเพื่อนขนปุย

วิธีที่ทำให้น้องหมาน้องแมวเป็นเพื่อนกัน

การแนะนำสุนัขและแมวให้รู้จักกันอาจเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปซึ่งต้องใช้ความอดทนและการดูแลอย่างระมัดระวัง นี้เป็นวิธีบางส่วนเพื่อช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสุนัขและแมว คุณสามารถทำได้เพื่อเพิ่มโอกาสที่สุนัขและแมวของคุณจะเป็นเพื่อนกัน

ค่อยเป็นค่อยไป

-การแนะนำตัวที่เข้มแข็งสามารถส่งผลย้อนกลับได้ ในตอนแรกให้เก็บพวกมันไว้คนละห้อง และปล่อยให้พวกมันคุ้นเคยกับกลิ่นของกันและกันโดยการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนหรือถูผ้าเช็ดตัวกับตัวหนึ่งแล้ววางไว้ใกล้พื้นที่ของอีกฝ่าย

การแนะนำแบบค่อยเป็นค่อยไป

-เมื่อพวกเขาดูสงบด้วยกลิ่นหอม ให้พบปะและทักทายในบริเวณที่เป็นกลางโดยมีสุนัขสวมสายจูง ปล่อยให้แมวไปมาตามต้องการ ให้รางวัลพฤติกรรมสงบด้วยขนมสำหรับสัตว์เลี้ยงทั้งสองตัว

การจัดการและการกำกับดูแล

-จัดการประชุมครั้งแรกให้สั้นและเป็นบวก หากมีพฤติกรรมก้าวร้าว ให้เบี่ยงเบนความสนใจอย่างใจเย็นแล้วพาพวกเขาไปด้วยของเล่นหรือขนม อย่าปล่อยให้พวกเขาไม่ได้รับการดูแลจนกว่าความไว้วางใจจะถูกสร้างขึ้น

แยกช่องว่าง

-จัดเตรียมพื้นที่แยกต่างหากเพื่อให้สัตว์เลี้ยงแต่ละตัวรู้สึกปลอดภัย เช่น ต้นไม้แมวสำหรับแมว และเตียงสำหรับสุนัขโดยเฉพาะ วิธีนี้ช่วยให้พวกมันล่าถอยพื้นที่ได้หากจำเป็น

การเสริมแรงเชิงบวก

-ให้รางวัลสัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวด้วยขนมและชมเชยเมื่อพวกมันอยู่ด้วยกันอย่างสงบ สิ่งนี้ช่วยเชื่อมโยงกันและกันด้วยประสบการณ์เชิงบวก

การฝึกอบรม

-การฝึกสุนัขให้เชื่อฟังอาจเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสั่ง เช่น ‘นั่ง’ และ ‘อยู่ต่อ’ เพื่อการควบคุมที่ดีขึ้นระหว่างการโต้ตอบ

ความอดทน

-การสร้างมิตรภาพต้องใช้เวลา อดทนและเฉลิมฉลองชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่สุนัขและแมวทุกตัวจะกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดได้ แต่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติถือเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่

เปลี่ยนด่วน! ความเชื่อแบบนี้ส่งผลร้ายต่อ สุนัข แมว

ใครเป็นทาส สุนัข แมว มารวมกันตรงนี้ด่วน! ก่อนที่ความเชื่อที่สืบทอดกันมาจะส่งผลร้ายต่อสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รักของเรา ก่อนที่จะไปดุกันว่ามีอะไรบ้าง เราอยากบอกคุณว่าการเลี้ยงสัตว์เหล่านี้จะต้องใส่ใจเขามาก ๆ โดยเฉพาะความรักถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะไม่ทำให้พวกคุณละเลย หันมาใส่ใจพวกเขาให้มากขึ้นโดยเริ่มจากตรงนี้เลย

  • เข้าใจผิดสุด ๆ ที่คิดว่าการใช้ยาม่วง (เจนเชี่ยนไวโอเลต) เป็นยาวิเศษที่สามารถรักษาได้ทุกอย่าง แน่นอนสรรพคุณของยาชนิดนี้ช่วยรักษาเชื้อราและแบคทีเรียได้ดี แต่ใช้ได้เฉพาะคนเท่านั้นกับ สุนัข แมว ไม่ควรอย่างยิ่ง ด้วยความที่ตัวยามีสีม่วงเมื่อทาลงไปยังผิวหนังหรือขนของพวกมันจะติดทนนานมาก ๆ เปลี่ยนขนสีขาวเป็นสีม่วงไปเลย ที่สำคัญเมื่อต้องไปหาหมอการตรวจเพื่อรักษาผิวหนังก็จะยากมากยิ่งขึ้น เพราะมองไม่เห็นจุดที่มีเชื้อรานั้นเอง

การรักษาที่ถูกต้อง : ควรใช้เป็นยาสำหรับ สุนัข แมว เท่านั้น

  • เมื่อ สุนัข แมว เกิดไม่สบายขึ้นมาวินิจฉัยโรคเองและซื้อมาให้ทาน เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะอาจทำให้พวกมันอาการแย่ลง 

การรักษาที่ถูกต้อง : แน่นอนว่าคุณทำเช่นนั้นเพราะห่วงสัตว์เลี้ยง แต่ก็แอบกังวลเรืองค่าใช้จ่าย สุดท้ายเมื่ออาการทรุด คุณก็ต้องพาพวกมันไปหาหมออยู่ดี ทางที่ดีควรพามาไปพบสัตวแพทย์เพื่อวิเคราะห์โรคที่ถูกต้อง

  • ทำความสะอาดด้วยน้ำเกลือ เป็นสิ่งที่ผิดเช่นกันและจะทำให้พวกมันหูอับชื้นมากขึ้น หากนำน้ำเกลือไปหยอดหรือเช็ด เพราะด้วยลักษณะช่องหูเป็นรูปตัว L ของเหลวหรือน้ำที่หยอดลงไปจะไม่สามารถออกมาได้นั้นเอง

การรักษาที่ถูกต้อง :  ควรใช้ยาเฉพาะช่องหูโดยเฉพาะ

  • แชมพูหรือสบู่สุนัขและแมวใช้ร่วมกับคนได้ เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอย่างแรง แม้คุณจะบอกว่าใช้สบู่เด็กสูตรอ่อนโยนก็ไม่ควรเช่นกัน เพราะกรด ด่างไม่เท่ากัน

การรักษาที่ถูกต้อง : เลือกใช้แชมพูสำหรับสัตว์เลี้ยงดีที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดโรคผิวหนัง

  • โรคพิษสุนัขมีแค่สุนัขเท่านั้นตามชื่อ จริง ๆ แล้วสามารถเกิดขึ้นและสัตว์อื่นก็เป็นพาหะได้เช่นกัน อาทิ แมว กระรอก กระต่าย 
  • การรักษาที่ถูกต้อง : พาสัตว์เลี้ยงของคุณไปฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าประจำปีเสมอ

          บ่อยครั้งที่เรามักได้ยินจากเหล่าคนเลี้ยงสัตว์มากมายพูดถึงและเข้าใจผิดกันมานานมาก แต่ไม่เป็นไรคนเราถ้าผิดแล้วแก้ไขเป็นเรื่องที่ให้อภัยกันได้ แต่เมื่อทราบแล้วยังดันทุรังทำอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ส่งผลร้ายต่อสัตว์เลี้ยงแสนรักของคุณอย่างแน่นอน

หน้าร้อนมาแล้ว หาวิธีคลายร้อนให้น้องแมวแสนรัก

เมื่อฤดูร้อนมาถึง คลื่นความร้อนแผ่ปกคลุมไปทั่ว แมวแทบทุกตัวมีอาการอ่อนเพลียจากความร้อน ร่างกายขาดน้ำ เป็นลมแดด โดยเฉพาะแมวแก่หรือแมวที่มีปัญหาสุขภาพมักจะเป็นโรคร้ายแรงที่เกิดจากความร้อน อากาศร้อนจัดส่งผลกระทบต่อสุขภาพน้องแมวตัวโปรด เจ้าของต้องหาวิธีคลายร้อนช่วยลดอุณหภูมิให้รู้สึกเย็นและผ่อนคลาย มาดูกันว่าคุณจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้น้องแมวเย็นตัวในฤดูร้อน

1.วางชามน้ำและน้ำพุแมว

แมวบางตัวกินน้ำน้อย ชามใส่น้ำที่วางทิ้งไว้นานเกินไปอาจมีกลิ่นและตะกอนทำให้แมวไม่ยอมกินน้ำ ลองเปลี่ยนน้ำนิ่งเป็นน้ำพุเพื่อให้แมวได้ดื่มน้ำสะอาดคุณภาพดีตลอด 24 ชั่วโมง ใส่น้ำได้ปริมาณมาก น้ำไหลเวียนตลอดเวลาและมีอุณหภูมิที่เหมาะสมเสมอ กระตุ้นให้แมวกินน้ำมากขึ้นแก้กระหายและคลายร้อนได้

2.เสื่อระบายความร้อน

หากบ้านไม่มีเครื่องปรับอากาศ แนะนำว่าควรมีเสื่อระบายความร้อนหรือเบาะนอนเย็นช่วยระบายความร้อนให้แมวรู้สึกเย็นสบายและระบายอากาศได้ดีด้วย ควรเลือกวัสดุที่ทนทานต่อเล็บแมวหรือเล็มเล็บแมวก่อนนำเสื่อระบายความร้อนออกมาใช้

3.หยดน้ำเย็นบนอุ้งเท้าแมว

หากเห็นน้องแมวมีอาการเหนื่อยหอบ แลบลิ้นออกมาเพื่อระบายความร้อน ชอบนอนเหยียดยาวบนพื้นกระเบื้องเย็นๆ คุณกังวลว่าเจ้าเหมียวควบคุมอุณหภูมิได้ไม่ดีนัก ให้หยดน้ำเย็นลงบนอุ้งเท้าแมวเพื่อระบายความร้อน อาบน้ำเย็นในแมวในกรณีที่คุ้นเคยกับการอาบน้ำอยู่แล้ว แต่ถ้าแมวของคุณไม่เคยอาบน้ำมาก่อน วันที่อากาศร้อนจัดอาจไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุด จะทำให้แมวเครียดมากขึ้นและสุขภาพแย่ลง ถ้าไม่ชอบก็ไม่ควรบังคับกัน ลองหาวิธีอื่นดีกว่า

4.เปลี่ยนอาหารเปียกแทนอาหารแห้ง

อาหารเปียกมีน้ำผสมอยู่พอประมาณช่วยให้อาหารนิ่มกลืนง่าย เจ้าเหมียวได้รับน้ำเพิ่มมากกว่าอาหารแห้ง ช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำและทำให้แมวรู้สึกเย็นขึ้น

5.เปิดแอร์ให้อากาศหมุนเวียน

การเปิดแอร์หรืออย่างน้อยก็เปิดหน้าต่างและเปิดพัดลมให้อากาศหมุนเวียน มีอากาศถ่ายเทสำหรับแมว ทำเป็นมุมเย็นๆ ให้หลบนอน ไม่ต้องไปหลบนอนในห้องน้ำที่พื้นเย็นกว่าที่อื่น

6.ตัดขนให้แมวขนยาว

ใครที่เลี้ยงแมวขนยาวฟู เมื่ออุณหภูมิร้อนจัด การตัดขนให้แมวตัวโปรดของคุณแบบพอดีไม่สั้นกุดเกินไปเพื่อปกป้องผิวหนังและไม่ทำให้แมวเสียเซลฟ์ด้วย เจ้าเหมียวก็ไม่ต้องทนกับความร้อนจนเกิดฮีทสโตรก

สัญญาณบ่งบอกว่าแมวอ่อนเพลียจากความร้อน 

ในวันที่อากาศร้อน เจ้าเหมียวจะทำอะไรได้นอกจากล้มตัวลงนอนหลบร้อนอยู่ในบ้านหรือเดินเตร็ดเตร่หาร่มเงาไม้ใหญ่เพื่อคลายร้อน อาการอ่อนเพลียจากความร้อนเป็นจุดเริ่มต้นของโรคลมแดด หากแมวรู้สึกร้อนเกินไป อาจไม่ยอมกินอาหาร หายใจหอบ พฤติกรรมวิตกกังวล ซึมเศร้า อ่อนแอ และหลบซ่อนตัว อาจเสี่ยงเป็นฮีทสโตรกได้หากไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม หากคุณกังวลว่าแมวร้อนเกินไปจนขาดน้ำหรือเป็นลมแดด ให้ติดต่อสัตวแพทย์ทันที

แนะวิธีเลี้ยงสุนัขและแมวแบบมินิมอล ตอบโจทย์คนรักสัตว์

การเลี้ยงสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสุนัขหรือแมวของแต่ละบ้านก็มีรูปแบบที่แตกต่างกัน ซึ่งวิธีการเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงนั้นก็ส่งผลต่อ อารมณ์ ความคิดของสัตว์เลี้ยงได้มาก วิธีการเลี้ยงจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ทั้งเจ้าของและสัตว์เลี้ยงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข มีความเข้าใจและสบายใจได้ในทุกวัน

  1. มีการจัดสรรตารางกิจกรรมหรือตารางชีวิตของสัตว์เลี้ยงอย่างเหมาะสม เพราะถ้าหากเราไม่ได้มีการจัดสรรเวลาต่าง ๆ ให้ดีโดยที่อัดแน่นกิจกรรมให้สุนัขมากจนเกินไป ควรที่จะมีกิจกรรมและเวลาในการพักผ่อนแบบที่พอดี เพื่อลดความเครียด ความหงุดหงิดของสัตว์เลี้ยง สร้างอารมณ์ที่เบิกบานและแจ่มใส หลาย ๆ บ้านที่เป็นกังวลว่าการที่ปล่อยให้สัตว์เลี้ยงไม่ทำอะไรเลยจะส่งผลเสียต่อสัตว์เลี้ยงแต่จริง ๆ แล้วการเว้นวรรค มีช่วงเวลาให้สัตว์เลี้ยงได้พักผ่อนบ้างก็เป็นประโยชน์สำหรับสัตว์เลี้ยงเช่นกัน
  1. อยู่ร่วมกันอย่างสันติด้วยการเข้าใจซึ่งกันและกัน อย่างที่เราทราบดีว่าสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขนั้นจะมีความไวต่อการได้ยินเสียงประเภทต่าง ๆ ได้มากกว่ามนุษย์ ซึ่งถ้าเรามีการใช้เสียงดัง โวยวาย เปิดเพลงฟังดัง ๆ หรือดูทีวีด้วยเสียงที่ดังมากเกินไปก็สามารถรบกวนสัตว์เลี้ยงของเราได้ ดังนั้นถ้าหากไม่จำเป็นก็ควรใช้เสียงดังในระดับที่เหมาะสม รวมทั้งการเปิดสื่อต่าง ๆ ก็เลือกเสียงดังพอประมาณถ้าหากว่ามีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบริเวณนั้น ๆ ด้วย 
  1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ยกตัวอย่างเช่นการพาสัตว์เลี้ยงไปวิ่งในช่วงเย็นที่สวยสาธารณะหรือใกล้ ๆ บ้านเพื่อให้สัตว์ได้มีการทำกิจกรรมทางกายที่มากขึ้น สร้างความผ่อนคลายจากความเครียดมาตลอดทั้งวัน ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยให้เจ้าของและสัตว์เลี้ยงได้ใช้ระยะเวลาร่วมกันจนเกิดความคุ้นเคยต่อกันได้มากขึ้น
  1. ดูแลเรื่องความสะอาดและสุขอนามัยอยู่เสมอ เนื่องด้วยถ้าหากมีปัญหาเรื่องของเห็บ ไร หมัด เหาก็จะทำให้สัตว์เลี้ยงมีปัญหาเรื่องโรคต่าง ๆ ตามมาได้ การอาบน้ำ ทำความสะอาด ตัดขน หวีขนอย่างสม่ำเสมอก็จะถือเป็นวิธีช่วยที่ดี ทั้งนี้ยังรวมถึงข้าวของเครื่องใช้ สิ่งต่าง ๆ ของสุนัขหรือแมวของเราด้วยที่ควรจะทำความสะอาดอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นที่นอน ของเล่น ผ้าคลุมตัว เป็นต้นเพราะสามารถกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้เช่นกัน

แต่ละวิธีในการดูแลสัตว์เลี้ยงตามแบบฉบับคนรักสัตว์ที่นำมาฝากกัน เชื่อว่าน่าจะถูกใจหลายคน ใครที่ถูกใจวิธีการดูแลสัตว์แบบไหนก็สามารถนำไปประยุกต์และปรับใช้ได้ตามไลฟ์สไตล์และนิสัยของสัตว์เลี้ยงแต่ละบ้าน บอกเลยว่าไม่ได้ยากอย่างที่คิด

วิธีดูแลบ้านที่มีการเลี้ยงสุนัขและแมว

วิธีทำความสะอาดบ้านของเจ้าของที่เลี้่ยงสุนัขและแมว

สุนัขและแมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่ประจำครอบครัวของคนส่วนใหญ่ เนื่องจากใช้พื้นที่ในการดูแลไม่มาก และยังสร้างความเพลิดเพลิน ลดความเครียดให้กับเจ้าของได้ด้วย แต่การดูแลทำความสะอาดบ้านที่มีสุนัขและแมวก็เป็นเรื่องที่สร้างปัญหาและความกังวลใจให้หลายคน เนื่องจากเป็นสัตว์ที่มีขน มีกลิ่นสาบ อาจมีเห็บหมัดและพาหะนำโรคอื่น ๆ ที่ติดต่อมาสู่คนได้ด้วย

วิธีทำความสะอาดบ้านของเจ้าของที่เลี้ยงสุนัขและแมว

1. ใช้ทรายกำจัดกลิ่น

ฉี่และขี้แมวเป็นสิ่งขับถ่ายที่มีกลิ่นรุนแรง ยิ่งถ้าเลี้ยงในคอนโดหรือพื้นที่ปิด ก็จะยิ่งได้รับผลกระทบด้านกลิ่นมาก ควรซื้อทรายแมวให้แมวขับถ่ายบนพื้นที่ในมุมที่เหมาะสม และเลือกกลิ่นทรายที่ช่วยในการปรับสภาพอากาศให้ดีขึ้น เช่น กลิ่นกาแฟ กลิ่นแอปเปิล ฯลฯ จะลดปัญหาเรื่องของกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้อย่างมาก และควรทำความสะอาดกระบะทรายเป็นประจำ และในวันหยุดก็ควรนำไปผึ่งแดดด้วย

2. ใช้ลูกกลิ้งหรือที่ดูดฝุ่นกำจัดขนจากเฟอร์นิเจอร์

คนส่วนใหญ่จะมีเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากผ้าที่อมฝุ่นได้ และก็ทำให้มีขนสัตว์ติดอยู่ปริมาณมาก จึงควรใช้ลูกกลิ้งที่ช่วยในการเก็บขนสัตว์ออกจากเฟอร์นิเจอร์ หรือใช้ที่ดูดฝุ่นที่มีแรงดูดสูง อาจเป็นระบบสุญญากาศก็ได้ และควรสวมปลอกหุ้มเฟอร์นิเจอร์ โดยเลือกแบบที่ทำจากเส้นใยทอละเอียด เพื่อกันไรฝุ่นและปรสิตอื่น ๆ จากสุนัขและแมวที่ทำให้คนเป็นโรคภูมิแพ้และผิวหนังอักเสบเป็น ๆ หาย ๆ ได้

3. ถูพื้นเป็นประจำ

ควรเลือกน้ำยาถูพื้นที่ผ่านการวิจัยว่าไม่มีผลเสียต่อสัตว์เลี้ยงทั้งสุนัขและแมว ใช้ผสมน้ำถูพื้นเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และเน้นทำความสะอาดบริเวณที่สุนัขและแมว กิน นอน ขับถ่าย ฯลฯ เพราะเป็นแหล่งที่มาของเชื้อโรคและทำให้สัตว์ป่วยได้ง่าย

4. ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์รอง

กระดาษหนังสือพิมพ์มีขนาดหน้ากว้างมาก จึงเหมาะสำหรับการปูพื้นรองสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ช่วยลดความสกปรกเลอะเทอะที่เกิดกับพื้นได้ เช่น จุดที่สุนัขและแมวขับถ่าย กินอาหาร ฯลฯ และยังกำจัดทิ้งได้ง่ายด้วย

5. ใช้สเปรย์ปรับอากาศรุ่นใหม่

ปัจจุบัน มีบริษัทที่ผลิตน้ำหอมปรับอากาศแก้ปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์จากมูลสัตว์ได้ โดยสเปรย์ได้บ่อยครั้งตามต้องการ และยังมีสเปรย์บางรุ่น ที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคในอากาศได้ดียิ่งขึ้นด้วย เท่ากับคุณได้ประโยชน์ทั้งการฆ่าเชื้อและปรับกลิ่นในห้อง

การดูแลทำความสะอาดบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขและแมว เป็นสิ่งที่เจ้าของไม่ควรมองข้าม เพื่อให้ทั้งคนและสัตว์มีสุขภาพที่ดี หวังว่าบทความนี้จะเป็นคำแนะนำที่ดีให้ทุกท่านที่มีสัตว์เลี้ยงนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้

วิธีดูแลบ้านที่มีการเลี้ยงสุนัขและแมว

แนะนำ 5 เคล็ดลับเตรียมความพร้อมก่อนพาสุนัขและแมวเที่ยวนอกบ้านอย่างปลอดภัย

เตรียมความพร้อมก่อนพาสุนัขและแมวเที่ยวนอกบ้าน

ถ้าสามารถพาน้องหมาน้องแมวของตัวเองไปเที่ยวกับตัวเองได้ แน่นอนว่าเหล่า Pet Lover ทุกคนคงพาไปด้วยทุกครั้งโดยไม่ลังเล เพราะการทิ้งให้เพื่อนรักสี่ขานอนเหงาอยู่ที่บ้านเพียงลำพังในระหว่างที่ตัวเองและคนครอบครัวเดินทางไปท่องเที่ยวนั้น นอกจากจะทำให้เจ้าของเป็นกังวลจนรู้สึกไม่สนุกแล้ว น้องหมาน้องแมวที่อยู่บ้านเพียงลำพังยังอาจเกิดความเครียด ซึ่งจะส่งผลเสียทั้งต่อร่างกายและจิตใจในระยะยาวอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่าการพาน้องหมาน้องแมวออกนอกบ้าน อาจทำให้เกิดอันตรายได้ตลอดเวลา ทั้งเชื้อโรค ถูกขโมย หลุดหาย และการเกิดอุบัติเหตุ

ดังนั้นวันนี้เราจึงมี 5 เคล็ดลับเตรียมความพร้อมก่อนพาสุนัขและแมวไปเที่ยวนอกบ้านมาฝาก รับรองว่าช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับน้องหมาน้องแมวแน่นอน

สุนัขและแมวไปเที่ยวนอกบ้านอย่างปลอดภัย ตามขั้นตอนนี้

ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสุนัขและแมวของคุณผ่านการฉีดวัคซีนป้องกันโรคครบถ้วนตรงตามคำแนะนำของสัตวแพทย์เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคไข้หวัด หัด เห็บหมัด ลำไส้อักเสบ พิษสุนัขบ้า เป็นต้น ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากภายนอกบ้านอาจมีเชื้อโรคที่อาจทำให้น้องหมาน้องแมวป่วยและเป็นพาหะนำโรคมาสู่มนุษย์ได้

ควรเตรียมกรงหรือกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยงให้พร้อมก่อนวันออกเดินทาง เพื่อความปลอดภัยของน้องหมาน้องแมวและตัวเจ้าของเอง เพราะสัตว์เลี้ยงมีอาการตื่นเต้นกับการเดินทางมากจนวิ่งวนไปวนมาในรถ แนะนำให้เจ้าของรีบนำน้องเก็บไว้ในกรงหรือกระเป๋าก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงรบกวนสมาธิของคนขับจนเกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนั้นการพกกระเป๋าและกรงไปด้วยยังช่วยเพิ่มความสะดวกเวลาเดินเที่ยวอีกด้วย

จัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของน้องหมาน้องแมวให้พร้อมก่อนวันออกเดินทาง เช่น ยารักษาโรค เบาะนอน ถาดน้ำ ถาดอาหาร ขวดน้ำ กระบะทราย หรือของเล่น เพราะสัตว์เลี้ยงบ้างตัวก็ติดการของใช้ไม่ต่างจากมนุษย์ ถ้าไม่มีกลิ่นเฉพาะของตัวเองก็อาจไม่ยอมใช้งาน ส่งผลให้เจ้าของร้อนใจกลัวเจ้าสี่ขาป่วยต้องรีบกลับบ้านเร็วกว่ากำหนด

เจ้าของควรใส่ปลอกคอที่มีรายละเอียดของชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ของเจ้าของให้กับสัตว์เลี้ยง เพราะหากน้องหมาน้องแมวพลัดหลงกับเจ้าของในขณะที่ไปเที่ยว ผู้ที่ช่วยเหลือยังสามารถติดต่อเพื่อส่งคืนกลับเจ้าของได้ในทันที

เจ้าของควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับที่พัก ร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวให้ละเอียด เพราะไม่ใช่ว่าทุกสถานที่จะอนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าได้ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการทิ้งน้องหมาน้องแมวไว้ตามลำพังในระหว่างการท่องเที่ยว แนะนำให้เลือกที่พักในโรงแรมหรือเที่ยวในสถานที่ที่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าได้เท่านั้น

เป็นอย่างไรบ้างสำหรับ 5 เคล็ดลับในการเตรียมความพร้อมก่อนพาสุนัขและแมวไปเที่ยวนอกบ้านที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ แต่อย่างไรก็ตามก่อนตัดสินใจพาเพื่อนรักสี่ขาไปเที่ยวด้วย ควรสังเกตอาการเวลาพาออกนอกบ้าน หากมีอาการตื่นคนหรือตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา เจ้าของควรฝึกสัตว์เลี้ยงให้มีความคุ้นเคยกับคนหรือการนั่งรถก่อน เพื่อเพิ่มความราบรื่นในการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น

สุนัขและแมวไปเที่ยวนอกบ้านอย่างปลอดภัย

ภัยเสี่ยงของสุนัขและแมวในช่วงเทศกาล

สัตว์เลี้ยงป่วยหนัก มีอาหารต้องห้ามมากมาย

ช่วงปลายปีมีเทศกาลงานรื่นเริงมากมาย ตั้งแต่คืนฮัลโลวีน ลอยกระทง งานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นเวลาแห่งความสนุกสนาน ผู้คนพลุกพล่าน และเสียงอึกทึกครึกโครมอาจเกิดความเสี่ยงทำให้สัตว์เลี้ยงแสนรักตกอกตกใจ การตกแต่งบ้านเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์และจัดงานเลี้ยงอาจทำให้สุนัขและแมวเกิดความเครียด กินขนมหวานหรืออาหารที่เสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ ตกใจหนีเตลิดออกจากบ้าน เจ้าของสัตว์เลี้ยงจำเป็นต้องป้องกันและดูแลให้ปลอดภัย

สาเหตุที่ทำให้สัตว์เลี้ยงป่วยหนัก

เทศกาลเต็มไปด้วยขนมหวาน อาหารบางอย่างและขนมหวานอันโอชะอาจทำให้สัตว์เลี้ยงป่วยหนัก มีอาหารต้องห้ามมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหัวหอม กระเทียม องุ่น ลูกเกด ช็อกโกแลต ลูกอม หมากฝรั่ง ชา กาแฟ หรือแม้แต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ห้ามให้กินเด็ดขาด ช็อกโกแลตเป็นขนมหวานที่มีความเสี่ยงที่สุด ยิ่งเป็นดาร์กช็อตโกแลตที่มีความเข้มข้นของโกโก้สูงส่งผลให้จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติและอาจเกิดอาการชักได้ทั้งสุนัขและแมว เกิดตับอ่อนอักเสบและมีโรคแทรกซ้อนร้ายแรง สิ่งที่อันตรายกับสุนัขมากกว่าช็อกโกแลตคือ ไซลิทอล ซึ่งเป็นสารทดแทนน้ำตาลที่เป็นส่วนประกอบในหมากฝรั่งและลูกอมทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดต่ำ มีอาการชัก และตับล้มเหลวซึ่งเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต อาหารที่ดูไม่น่ามีอันตรายอย่างลูกเกดและองุ่นก็อาจมีผลให้สุนัขบางตัวเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน

หากกินกระดาษห่อลูกอมเข้าไปจะเกิดการระคายเคืองทางเดินอาหารหรือระบบย่อยอาหาร อาจต้องไปพบสัตว์แพทย์เพื่อตรวจและผ่าตัดเอาออก เมื่อจัดปาร์ตี้สัตว์เลี้ยงอาจเข้ามาดื่มแอลกอฮอล์โดยบังเอิญหรือความคึกคะนองของคนบางคน ถ้าดื่มน้อยก็เมา ถ้าดื่มมากพิษแอลกอฮอล์ทำให้ถึงตายได้ หรือแม้จะล้างท้องได้ทันก็ยังเกิดความเสียหายต่ออวัยวะภายในอย่างรวดเร็ว อีกสิ่งที่เป็นอันตรายกับสัตว์เลี้ยงคือถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่ใส่ขนมและของว่างต่าง ๆ เป็นอันตรายต่อสุนัขและแมวที่มุดเข้าไปดมกลิ่นอาหารในถุงพลาสติกแล้วหัวติดอยู่ออกไม่ได้ทำให้หายใจไม่ออก ตายอย่างรวดเร็วและเงียบในเวลาเพียง 3-5 นาที ยิ่งสัตว์เลี้ยงตื่นตกใจจะยิ่งหายใจหอบทำให้ออกซิเจนหมดไปเร็วขึ้น

ถ้าจับสัตว์เลี้ยงแต่งตัวก็ต้องระมัดระวังอย่าให้รัดแน่นเกินไปหรือรุ่มร่ามเป็นอันตรายจนเสี่ยงเดินสะดุดล้มหรือตกจากบันได การแต่งตัวแปลก ๆ คนแปลกหน้ามากมาย และการตกแต่งสถานที่ใหม่ ๆ อาจทำให้สัตว์เลี้ยงหวาดกลัว สัตวแพทย์เตือนว่าเสียงดังถือเป็นภัยคุกคามที่อันตรายที่สุด เสียงพลุและประทัดส่งผลให้สุนัขและแมวเกิดความเครียดและความกลัว ทำให้เกิดปัญหาทางร่างกาย เช่น ท้องร่วงหรืออาเจียน แย่ที่สุดคือสัตว์เลี้ยงหลุดออกจากบ้านหนีเตลิดหลงทางและหายสาบสูญไป ควรจัดให้มีพื้นที่ปลอดภัยและป้องกันเสียงรบกวนได้มากที่สุด อาจเปิดทีวีหรือเล่นเพลงเพื่อกลบเสียงอื่นที่ไม่คุ้นเคย มีของเล่นประจำช่วยคลายเครียด ทำให้สุนัขและแมวสงบสติอารมณ์ ความเครียดน้อยลง ที่สำคัญคือระวังอย่าให้หลุดออกมาจากบ้านได้ เพราะอาจตกใจเตลิดหนีไปและต้องออกติดตามหา

ช่วงเทศกาลที่มีการเฉลิมฉลอง เจ้าของสัตว์เลี้ยงจึงควรอยู่ดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างใกล้ชิด ด้วยเหตุว่าทั้งสุนัขและแมว ต่างก็จำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ด้านความปลอดภัย และได้รับความรักจากเจ้าของอยู่เสมอ

ภัยเสี่ยงของสุนัขและแมวในช่วงเทศกาล

การดูแลสุนัขและแมวหลังคลอด เลี้ยงดูอย่างไร

การดูแลสุนัขและแมวหลังคลอด เลี้ยงดูอย่างไร

สุนัขและแมว เป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่ใกล้กับคนครอบครัวส่วนใหญ่ เป็นเพื่อนเล่นแก้เหงาและคลายเครียดได้ดี แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าเมื่อสัตว์เลี้ยงทั้งสองชนิดนี้ออกลูก แล้วจะต้องดูแลตัวแม่และลูกที่กำลังอ่อนแออย่างไรบ้าง เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากกัน ดังนี้

การเลี้ยงดูสุนัขและแมวหลังคลอด

ส่วนใหญ่ลูกสุนัขและแมวจะเสียชีวิตหลังคลอดได้ง่าย จากการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีอุณหภูมิหนาวเย็นกว่าในตัวแม่ เนื่องจากยังมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม ก็จะติดเชื้อและเสียชีวิตได้ง่าย ดังนั้นหลังจากการคลอดแล้ว จึงต้องดูแลให้ลูกสุนัขและแมวอยู่กับตัวแม่ตลอดเวลา เพื่อกินน้ำนมเหลืองจากเต้าอย่างน้อย 3 วัน เพื่อให้ได้รับภูมิคุ้มกันอย่างเต็มที่ผ่านทางน้ำนม สำหรับแม่สุนัขและแมวที่คลอดด้วยวิธีการผ่าตัด มักจะมีน้ำนมน้อยกว่าปกติ อาจต้องซื้อน้ำนมเหลืองที่เรียกว่า นมคอลอสตุ้ม สำหรับชงให้ลูกสัตว์ทานเพิ่มด้วย

นอกจากนี้ ควรระวังไม่ให้แม่สัตว์นอนทับลูกตัวเอง เจ้าของควรช่วยจัดที่นอนให้กว้างเพียงพอ เสริมผ้าขนหนูเพื่อให้มีความอบอุ่นทั่วถึง นอกจากนี้ โดยธรรมชาติลูกสุนัขและแมวจะได้รับการดูแลจากแม่ โดยเฉพาะเมื่อมีการดูดนมแล้ว ตัวแม่จะเลียที่อวัยวะเพศและก้นลูก เพื่อกระตุ้นให้ขับถ่ายออก แต่หากเจ้าของสังเกตดูไม่เห็นพฤติกรรมดังกล่าว หรือเป็นสัตว์กำพร้า ก็ต้องใช้สำลีชุบน้ำอุ่น ถูที่บริเวณก้นและอวัยวะเพศลูกสัตว์เพื่อกระตุ้นให้ขับถ่าย และทำทุกครั้งเป็นประจำหลังให้นม

ลูกสัตว์หลังคลอดจะดูดนมบ่อยทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งเจ้าของควรชั่งน้ำหนักแล้วบันทึกไว้ โดยเฉลี่ยแล้วน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นวันละ 5-10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมื่อโตอายุได้ประมาณ 4 สัปดาห์ ลูกสุนัขและแมวจะสามารถกินอาหารเปียกบนจานได้ คู่กับการดูดนม ซึ่งเจ้าของต้องดูแลเลือกสูตรอาหารให้เหมาะสมกับช่วงอายุด้วย

สำหรับการดูแลแม่สุนัขและแมวหลังการคลอด ให้สังเกตอาการผิดปกติว่ามีสารเหลวออกมาจากช่องคลอดหรือไม่ ถ้ามีสีแดงหยดออกมาเล็กน้อยเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ที่เต้านมไม่ควรมีอาการเจ็บ จนไม่ยอมให้ลูกดูดนม หรือมีน้ำนมแต่เป็นสีเขียวเหนียวหนืด ซึ่งจะทำให้ลูกสัตว์ท้องเสีย ติดเชื้อตายได้ และที่ต้องสังเกตอีกประการหนึ่ง คือ หากแม่สุนัขและแมวมีอาการซึม มีไข้ตัวสั่น หรือไม่สนใจลูกเท่าที่ควร ก็หมายถึงอาจมีความผิดปกติหรือเจ็บป่วยภายใน ที่ต้องรีบตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด โดยปรึกษากับสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด

การดูแลสุนัขและแมวในช่วงหลังคลอด เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องศึกษาข้อมูลเตรียมไว้ก่อน เจ้าของอาจต้องลางานเพื่อช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด อย่างน้อยประมาณ 3 ถึง 5 วัน ด้วย หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านใส่ใจคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยงให้ดียิ่งขึ้น เพื่อลดความเครียดและลดความเสี่ยงการเสียชีวิตทั้งแม่และลูกสุนัข แมว

การเลี้ยงดูสุนัขและแมวหลังคลอด

การให้อาหารแมวกับสุนัขแตกต่างกันไหม

การให้อาหารแมวกับสุนัขแตกต่างกันไหม

คนที่รักสัตว์และอยากเลี้ยงสุนัขและแมวรวมกันในบ้าน นอกจากต้องจัดระเบียบพื้นที่อยู่อาศัย เพื่อป้องกันโรคติดต่อถึงกันได้แล้ว ยังต้องใส่ใจอาหารที่ให้แก่สุนัขและแมวด้วย ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่สงสัยว่าสุนัขและแมวสามารถกินอาหารประเภทเดียวกันได้หรือไม่ เราจึงได้รวมข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากกันดังนี้

อาหารที่เหมาะสมสำหรับสุนัขและแมว

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า อาหารที่เหมาะสมสำหรับสุนัขและแมวมีความแตกต่างกัน เพราะระบบของร่างกายสัตว์ทั้งสองประเภทนี้ถูกสร้างมาให้มีความแตกต่าง สุนัขจัดอยู่ในประเภทที่กินและย่อยได้ทั้งเนื้อสัตว์และพืชผัก อย่างที่เราเห็นว่าบางครั้งสุนัขก็กินหญ้า แต่แมวจะเป็นสัตว์ที่กินเฉพาะเนื้อเท่านั้น ทำให้ระบบการดูดซึมวิตามิน เผาผลาญและย่อยอาหารแตกต่างกันไป

หากนำอาหารสุนัขซึ่งโดยทั่วไปจะมีราคาถูกกว่ามาให้แมวรับประทาน จะเกิดปัญหาต่อสุขภาพที่สำคัญ ได้แก่

แมวจะขาดวิตามินเอจากอาหาร เนื่องจากสุนัขมีการสังเคราะห์วิตามินเอได้เองจึงไม่ค่อยมีการผสมในอาหารเม็ด แมวที่กินอาหารสุนัขเป็นประจำจะทำให้มีปัญหาเส้นขนที่หยาบกร้าน ดวงตาไม่สามารถมองเห็นได้ดีนักในความมืด

นอกจากนี้ ในอาหารสุนัขยังขาดกรดอะมิโนทอรีน เนื่องจากสุนัขจะสามารถสังเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง หากให้แมวกินบ่อยๆ จะเกิดภาวะขาดกรดอะมิโนชนิดนี้ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ ทำให้แมวเสี่ยงต่อการเป็นหัวใจวายและตายได้ ขณะเดียวกัน ก็ส่งผลให้แมวเกิดภาวะ feline central retinal degeneration (CRD) ซึ่งเป็นโรคของจอประสาทตา ทำให้ตาบอดได้ด้วย

การให้แมวซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อ กินแต่อาหารสุนัข จะทำให้ได้เปอร์เซ็นต์สัดส่วนของโปรตีนที่น้อยกว่าปกติ จึงทำให้กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง ภูมิต้านทานต่ำ ป่วยติดเชื้อเป็นโรคพยาธิต่าง ๆ ทำให้มีอายุสั้นด้วย

ดังนั้นหาก เลี้ยงสุนัข และแมวร่วมกัน ก็จำเป็นจะต้องแยกประเภทอาหาร ซื้ออาหารสุนัขและอาหารแมวที่เหมาะกับช่วงวัยของสัตว์เลี้ยง ถึงจะทำให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์ และเสริมสร้างพัฒนาการตามวัย

สำหรับสุนัขนั้น สามารถที่จะเสริมอาหารเม็ดด้วยผักผลไม้ได้ เนื่องจากระบบการย่อยอาหารของสุนัขจะมีเอนไซม์ทำหน้าที่ย่อยสารอาหารและดูดซึมนำไปใช้ได้

อย่างไรก็ตาม มีอาหารแต่ที่ต้องหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด เช่น กาแฟ โกโก้ช็อกโกแลต ซึ่งมักเป็นส่วนผสมในขนมเค้ก คุกกี้ ขนมปัง ซึ่งจะมีคาเฟอีนอยู่เป็นส่วนประกอบ ทำให้เกิดการกระตุ้นระบบประสาทและเป็นผลเสียต่อระบบไตของสุนัข ทำให้อายุสั้นได้

จะเห็นได้ว่า อาหารสุนัขและแมวมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน การให้อาหารที่ไม่เหมาะสม อาจจะทำให้สัตว์ป่วยถึงขั้นเสียชีวิตได้ ผู้ที่สนใจเลี้ยงสุนัขและแมวจึงต้องศึกษาให้ดีเรื่องของการดูแลสุขภาพ การฉีดวัคซีน รวมถึงการเลือกอาหารที่เหมาะสมกับแต่ละสายพันธุ์ด้วย

อาหารที่เหมาะสมสำหรับสุนัขและแมว