เคล็ดลับการผูกสัมพันธ์ ระหว่างน้องหมาและน้องแมว

1. แนะนำให้รู้จักกัน

ไม่ว่าจะนำสุนัขหรือแมวตัวใหม่มาเลี้ยง และอาศัยอยู่ร่วมกับสุนัขหรือแมวที่เลี้ยงอยู่ก่อนแล้ว คุณควรเช็คบ้านให้ดีก่อน ว่ามีพื้นที่เพียงพอสำหรับสมาชิกใหม่ เพื่อให้สัตว์เลี้ยงมีพื้นที่ส่วนตัว แรก ๆ คุณต้องจับเค้าแยกกันก่อน เพื่อให้สัตว์เลี้ยงได้ปรับตัว

2. ใจเย็น ๆ ปล่อยให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป

การเลี้ยงสุนัขกับแมวให้อยู่ร่วมกัน ห้ามปล่อยให้สุนัขวิ่งไล่แมวเด็ดขาด เพราะในช่วงแรก ๆ ควรปล่อยให้แมวได้ปรับตัวประมาณ 3-4 วัน เพื่อให้คุ้นเคยกับกลิ่นก่อน แล้วค่อยทำความคุ้นเคยกับสัตว์ชนิดอื่น

3. สลับห้องสัตว์เลี้ยง

เป็นการทำให้ทั้งคู่ได้กลิ่นกันจากที่อยู่ โดยที่ไม่ต้องมองเห็นกัน กลิ่นนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับสัตว์ เพราะสัตว์จะสร้างความคุ้นเคยจากกลิ่น ดังนั้นจึงปล่อยให้สุนัขและแมวอยู่กับกลิ่นเพื่อสร้างความคุ้นเคยกัน

4. รอเวลาที่สุนัขและแมวจะรู้สึกผ่อนคลายกับกลิ่น

หากแมวตกใจกลัวสุนัข ต้องให้เวลากับแมวสักพัก และเมื่อแมวปรับตัวกับกลิ่นได้ ก็นำทั้งคู่มาทำความรู้จักกัน

5. ทำให้สุนัขและแมวมีปฎิสัมพันธ์กันเรื่อย ๆ

เมื่อแมวไม่มีท่าทีว่ากลัวสุนัข หรืออึดอัด ให้นำสุนัขไปผูกเชือกไว้ และปล่อยให้แมวเดินไปมา เมื่อเวลาผ่านไปสุนัขจะเริ่มรับรู้ว่าห้ามวิ่งไล่แมว คุณก็สามารถปล่อยสุนัขได้

เคล็ดลับการผูกสัมพันธ์ ระหว่าน้องหมาและน้องแมว

คนรักสัตว์ควรรู้ โรคที่ สุนัข แมว ต่างก็เป็นได้

สุนัข แมว เป็นสัตว์เลี้ยง 2 สายพันธุ์ที่ใกล้ชิดกับมนุษย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ที่รักสัตว์ทั้งสองชนิดนี้ จึงควรรู้ว่ามีโรคอะไรบ้างที่ทั้งสุนัขและแมวสามารถเป็นได้ เพื่อการป้องกันและดูแลรักษาอย่างทันท่วงที

โรคหนอนพยาธิตัวกลม ตัวแบน ตัวตืด

หนอนพยาธิเป็นปรสิตที่อาศัยอยู่ในร่างกายได้ทั้งคนและสัตว์ สำหรับสุนัข แมว หนอนพยาธิที่พบบ่อย คือ พยาธิใบไม้ในตับ พยาธิใบไม้ในปอด พยาธิตัวตืด พยาธิตัวจี๊ด พยาธิปากขอ ซึ่งมักจะมาจากการปนเปื้อนในอาหารหรือน้ำ หรืออาจเกิดจากลูกสุนัขและแมวที่ดูดนมจากเต้าของแม่ที่เป็นโรคหนอนพยาธิก็ได้เช่นกัน

เพื่อการป้องกันโรคหนอนพยาธิ สัตวแพทย์จึงแนะนำให้เจ้าของพาสัตว์เลี้ยงไปรับยาถ่ายพยาธิกินเป็นประจำทุก 3 เดือนหรืออย่างช้า 6 เดือน

โรคพยาธิหนอนหัวใจ

โรคพยาธิหนอนหัวใจเป็นที่รู้จักกันในบรรดาคนเลี้ยงสุนัขอยู่แล้ว ซึ่งแมวก็เป็นได้เช่นกัน เกิดจากการที่ยุงไปกัดสุนัขที่มีเชื้อ Dirofilaria immitis อยู่ แล้วไปกัดที่แมวต่อ ทำให้ส่งต่อเชื้อกันได้ และเมื่อตัวอ่อนเติบโตขึ้นในร่างกายของสุนัข แมว ก็จะเคลื่อนที่ไปในกระแสเลือดแล้วอาศัยอยู่ตามอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจและปอด ทำให้สัตว์ทั้งสองสายพันธุ์เสียชีวิตได้

สัตวแพทย์จึงแนะนำให้ผู้เลี้ยงป้อนยาเม็ดไอเวอร์เมคติน ยากิน (สำหรับสุนัข) หรือให้ยาเซลาเมคตินแบบหยอดหลัง  (สำหรับสุนัขและแมว) ร่วมกับการดูแลที่อยู่ของสัตว์เลี้ยงไม่ให้มียุงชุม จะช่วยลดความเสี่ยงโรคนี้ได้

โรคติดเชื้อโปรโตซัว Gladiasis

เป็นเชื้อที่ทำให้เกิดปัญหาในระบบลำไส้และทำให้การดูดซึมอาหารลดลง มักมาจากการที่สุนัข แมวถูกเลี้ยงอย่างแออัดรวมกันในสถานที่ที่สุขอนามัยไม่ดี ทำให้เกิดการปนเปื้อนของอุจจาระในอาหารและน้ำ รวมถึงการเลียขนทำความสะอาดของสัตว์ที่มีอุจจาระปนเปื้อนตามตัวด้วย

เมื่อเชื้อเข้ามาสู่ลำไส้ของสุนัขและแมวแล้วจะทำให้เกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรง อุจจาระจะมีกลิ่นเหม็นเน่า และเกิดเป็นโรค IBD (Inflammatory Bowel Disease) หรือลำไส้อักเสบแบบเรื้อรังได้

โรคนี้ต้องป้องกันด้วยการดูแลความสะอาดในที่อยู่ของสัตว์เลี้ยง และหากสัตว์ป่วยแล้ว สัตวแพทย์จะให้กินยาสำหรับฆ่าเชื้อต่อเนื่อง 5 ถึง 7 วัน

นอกจากโรคทั้งสามที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีโรคที่สุนัข แมว เป็นร่วมกันได้อีกหลายชนิดรวมถึงโรคพิษสุนัขบ้าซึ่งคนทั่วไปรู้จักกันดี ผู้ที่เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงจึงควรดูแลเรื่องการฉีดวัคซีนตามกำหนดระยะเวลาอย่าง เพื่อให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อลุกลามไปยังสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ และไม่สร้างปัญหาให้แก่ผู้เลี้ยงในระยะยาวด้วย

คนรักสัตว์ควรรู้ โรคที่ สุนัข แมว ต่างก็เป็นได้

อยากรู้อายุสุนัข แมว เมื่อเทียบกับคนต้องอ่าน

สุนัข แมว เป็นสัตว์ที่ใกล้ชิดคนอย่างมาก เรียกได้ว่าตั้งแต่สมัยโบราณมีความนิยมเลี้ยงสัตว์ทั้งสองชนิดนี้ เพื่อเป็นทั้งเพื่อนสร้างความบันเทิง ลดความเครียด สำหรับสุนัขยังช่วยในการเป็นยามเฝ้าบ้านเรือน และสำหรับแมวเชื่อว่าเรียกโชคลาภได้ ในวันนี้ผู้ที่อยากรู้อายุของสุนัข แมวเมื่อเทียบกับคน พลาดไม่ได้ติดตามอ่านกันเลย

อยากรู้อายุสุนัข แมว เมื่อเทียบกับคน

เปรียบเทียบอายุ สุนัข แมว จากตารางมาตรฐานของสัตวแพทย์

สัตวแพทย์ทั่วโลกบอกอายุสุนัข แมว จากตารางมาตรฐานแก่เจ้าของสัตว์เลี้ยง ดังนี้

หากเป็นสุนัข อายุ 1 ปีแรกจะเท่ากับคนอายุ 15 ปี ส่วนแมว เมื่ออายุครบ 1 ปี จะเทียบเท่าคนวัยเจริญพันธุ์ คือ 24 ปี หลังจาก 1 ปีแรกของสุนัข อายุเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นปีละ  5 ปีของคน โดยประมาณ เช่น อายุสุนัข  2 ขวบจะเท่ากับคน  24 ปี และเมื่อสุนัขอายุ 5 ปี จะเทียบเท่ากับคนวัย 36 ปี

กรณีของแมว อายุจะเพิ่มเป็นสัดส่วนไวกว่าของสุนัข กล่าวคือ แมวที่อายุ 2 ขวบจะเทียบเท่ากับคนอายุ 36 ปี และแมวที่อายุ 5 ปี จะเทียบเท่ากับคนวัยเกือบ 50 ปี

ลักษณะทางกายภาพที่เปลี่ยนแปลงไปของสุนัข แมว ตามวัยที่เพิ่มขึ้น

กรณีที่ไม่ทราบปีเกิดของสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าสุนัข แมว จะมาจากการรับเลี้ยงหรือสงเคราะห์ สัตวแพทย์จะแนะนำให้ดูจากลักษณะกายภาพที่พอจะบ่งบอกได้ถึงอายุของสัตว์เลี้ยงทั้งสอง ดังนี้

1. สุขภาพในช่องปาก

ฟันของสุนัขจะมี 2 ชุด เมื่ออายุประมาณ 1 เดือนจะมีฟันน้ำนม 28 ซี่ และเมื่ออายุ 6 เดือนจะมีฟันแท้ 42  ซี่  ส่วนของแมว จะมีฟันน้ำนม 26 ซี่ เมื่อโตเต็มวัยจะมีฟันแท้ 30 ซี่ เมื่ออายุมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ฟันของสุนัข แมวจะมีลักษณะเหลือง มีคราบหินปูน ฟันหัก  แตกกร่อน หรือหลุดร่วงไป

2.  ระบบกล้ามเนื้อและข้อต่อร่างกาย

สุนัข แมว เมื่ออายุเพิ่มขึ้นจะมีการเคลื่อนไหวช้าลง มีปัญหาข้อเสื่อมเช่นเดียวกับผู้สูงอายุ สังเกตได้จากการเคลื่อนไหวที่ลดน้อยลง ไม่ค่อยเดินขึ้นลงบันได การกระโดดไม่สูงอย่างแต่ก่อน และจำนวนไม่น้อยก็พบว่ามีปัญหาโรคอ้วนและน้ำหนักเกินด้วย

3. ดวงตาและการมองเห็น

สุนัข แมว ที่อายุมากขึ้น ความเป็นประกายในดวงตาจะลดลง มีภาวะโรคตาต้อ การมองเห็นศักยภาพลดลง หากเจ้าของมองดูอาจพบว่าตาขุ่นมัวหรือมีรอยที่กระจกตาด้วย ต่างจากสุนัข แมวที่อายุน้อย ดวงตาจะสดใสเป็นประกายแวววาวและมีการกรอกไปมาอย่างซุกซนตลอดเวลา

อายุสุนัข แมว เมื่อเทียบกับคนต้องอ่าน

สุนัข แมว ต้องการการดูแลที่แตกต่างตามช่วงวัย ผู้เป็นเจ้าของจึงควรคาดคะเนอายุและดูแลสัตว์เลี้ยงใกล้ชิดตามความเหมาะสม เพื่อตอบแทนความสุขและประโยชน์ที่ได้รับจากสัตว์เลี้ยงทั้งสองอย่างเหมาะสมตลอดชีวิต

สิ่งที่ต้องคิดก่อนการมีสัตว์เลี้ยง

การมีสัตว์เลี้ยงเป็นหนึ่งในสิ่งผ่อนคลายความเครียดและบรรเทาความเหงาของคนยุคใหม่นี้ แต่ก่อนที่จะมีสัตว์เลี้ยงคุณควรพิจารณาความพร้อมในสิ่งใดบ้าง จึงจะทำให้ไม่มีปัญหาในอนาคตตามมา

มีพื้นที่และคนดูแลอย่างใกล้ชิด

รู้จักอุปนิสัยของสัตว์เลี้ยง

คุณต้องศึกษาผ่านเว็บไซต์ หรือหนังสือเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงว่าแต่ละสายพันธุ์มีนิสัยอย่างไร แม้ว่าจะเป็นแมว สุนัข ที่คนส่วนใหญ่รู้จักและนิยมกัน ก็ยังมีความแตกต่างตามพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ทำให้มีความดุ ความขี้เล่น ความหวงเจ้าของที่ไม่เท่ากัน คุณจึงห้ามพลาดข้อแรกนี้โดยเด็ดขาด

มีพื้นที่และคนดูแลอย่างใกล้ชิด

สัตว์เลี้ยงจำพวกสุนัข และแมวจำเป็นต้องมีพื้นที่ในการวิ่งเล่น และการขับถ่าย ซึ่งคุณควรต้องจัดสรรพื้นที่ส่วนตัวในการรองรับสิ่งเหล่านี้ หากอาศัยในหมู่บ้านที่มีสวนสาธารณะ หรือมีสวนสาธารณะอย่างสวนลุมพินีใกล้บ้าน ก็ควรมีคนดูแลรับผิดชอบในการเก็บมูลสัตว์ ไม่ให้มีปัญหาสิ่งปฏิกูลเรี่ยราดตามพื้นที่ส่วนรวมด้วย

ศึกษาอาหารที่เหมาะสมกับวัยของสัตว์เลี้ยง

สัตว์แต่ละชนิดจะมีอาหารที่เหมาะสมกับสายพันธุ์ต่างกัน เพื่อพัฒนาการทางสมอง และความสมบูรณ์ของอวัยวะภายในร่างกายที่ดีที่สุด คุณควรศึกษาว่าในช่วงวัยเด็ก วัยเจริญพันธุ์ และวัยชราของสัตว์เลี้ยงที่คุณสนใจต้องเน้นสารอาหารกลุ่มไหน ซึ่งสัมพันธ์กับการบริหารค่าใช้จ่ายรายวันของคุณที่ต้องเพิ่มสูงขึ้นด้วย

การฉีดวัคซีนให้สัตว์เลี้ยง

การเสริมสร้างภูมิต้านทานแก่สัตว์เลี้ยงเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่คุณต้องศึกษา เนื่องจากสัตว์แต่ละสายพันธุ์จะมีโรคประจำตัวอยู่ เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วย น้ำนม อย่างสุนัข แมว หนู กระต่าย จะมีโรคพิษสุนัขบ้าที่สามารถติดต่อมายังคนได้ รวมถึงมีโรคเฉพาะของสัตว์ เช่น ไข้หัดสุนัข และแมว โรคตับ โรคลำไส้ โรคฉี่หนู ที่ทำให้สัตว์ป่วย ทรมาน และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว คุณจึงควรวางแผนการฉีดวัคซีนกับคลินิคสัตวแพทย์ใกล้บ้านอย่างสม่ำเสมอด้วย

การปรับสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม

สำหรับคนที่เลี้ยงสุนัขเพื่อเฝ้าบ้าน ก็ควรทำการถางหญ้าและจัดการพื้นที่รกอันเป็นแหล่งชุมนุมของสัตว์มีพิษอย่างตะขาบ งู รวมถึงโจรผู้ร้ายด้วย เพื่อความสวยงามของบ้านและลดเปอร์เซ็นต์การเกิดอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง ที่จะเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงและตัวคุณได้

การให้ความรักสม่ำเสมอ

ไม่ว่าสัตว์เลี้ยงของคุณจะเป็นสายพันธุ์อะไร การให้เวลา ความเอาใจใส่ และความรักอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้สัตว์เหล่านี้ มีความสุข ร่าเริงและไม่ป่วยง่าย มีการศึกษาว่าสัตว์ที่อยู่ใกล้ชิดคนมากเท่าใด ก็จะซึมซับความรู้สึกนึกคิดและมีความผูกพันกับคนมากเพียงนั้น คุณจึง ต้องตั้งใจว่าจะเลี้ยงจนแก่เฒ่า ไม่ทอดทิ้งจนมันตรอมใจและตายอย่างโดดเดี่ยว

รู้จักอุปนิสัยของสัตว์เลี้ยง

จะเห็นได้ว่า การมีสัตว์เลี้ยงมีภาระและความรับผิดชอบที่คุณต้องยอมรับให้ได้ อย่าลืมว่าสัตว์เลี้ยงให้ประโยชน์ทางจิตใจ ช่วยให้คุณคลายเหงาและยังสามารถช่วยเฝ้าบ้านให้คุณได้ การดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างดีที่สุด จึงเป็นการตอบแทนความซื่อสัตย์และจงรักภักดีของสัตว์เหล่านี้อย่างแท้จริง

การมองเห็นและประสาทสัมผัสอื่น ๆ ของ สุนัข แมว เหมือนคนเราไหม

การมองเห็นและประสาทสัมผัสอื่น ๆ ของ สุนัข แมว

การใช้ประสาทสัมผัสด้านการมองเห็น ดมกลิ่น การได้ยินของ สุนัข แมว จะเหมือน หรือต่างจากคนเราเพียงใด เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ได้วิจัยและค้นหาคำตอบมาอย่างต่อเนื่อง และนำมาซึ่งเรื่องน่าสนใจที่เราจะนำเสนอต่อไปนี้

สีที่สุนัข แมว มองเห็นต่างจากคนอย่างไร

ในดวงตาของสุนัข จะมีเซลล์ที่ทำหน้าที่รับแสง หรือ cone cell 2 ชนิด ซึ่งต่างจากคนที่มี 3 ชนิด จึงทำให้จำนวนสีที่สุนัขมองเห็นได้น้อยกว่า เช่น ไม่สามารถแยกความแตกต่างของสีน้ำตาล , เหลืองอ่อน-เข้ม , ฟ้าอ่อน-เข้ม ได้ ส่วนแมวก็มีความต่างออกไปอีก คือ จะเห็นสีเขียวและฟ้าชัดเจน แต่จะไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างสีแดงสดกับสีโทนชมพูได้

ระยะหรือความไกลที่สุนัข แมว รับรู้ภาพได้เป็นเช่นไร

เมื่อเทียบกับสายตาของคนปกติแล้ว สุนัขจะมีสายตาที่เห็นได้ระยะสั้นและคมชัดน้อยกว่าคนในช่วงเวลากลางวัน จึงทำให้ต้องใช้ประสาทสัมผัสทางจมูกช่วยแยกกลิ่น แต่ในช่วงเวลากลางคืน สุนัขจะมีเซลล์ชื่อ rod cell เพื่อช่วยในการมองเห็นดีกว่าคน ทั้งยังมีส่วนที่เรียกว่า Tapetum lucidum ที่ทำหน้าที่สะท้อนแสงเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นให้ชั้นเรตินา จึงทำให้เราเห็นดวงตาสุนัขมีความแวววาว และเห็นสิ่งที่คนเราไม่เห็นในที่มืดสลัว

ส่วนแมว จะมีข้อจำกัดที่การเห็นภาพจะอยู่ในระยะแค่ 6 เมตร และวัตถุที่อยู่ตรงกลางจมูกแมวจะเห็นภาพเบลอ ๆ ไม่ชัด ส่วนในยามกลางคืน แมวจะมีเซลล์รับแสงและกลไกช่วยสะท้อนแสงเช่นเดียวกับสุนัข จึงเป็นประโยชน์ในการล่าสัตว์เล็ก เช่น หนู แมลงสาบ ซึ่งเป็นไปตามสัญชาติญาณนักล่านั่นเอง

ทักษะอื่นๆ ที่ช่วยในการมองเห็นของสุนัข แมว

นอกจากสุนัข แมวจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และป้องกันตัวจากสิ่งแปลกปลอมด้วยการใช้ดวงตาที่มองเห็นได้ดีกว่าคนเราในยามค่ำคืนแล้ว ยังมีทักษะอื่น ๆ ที่จำเป็นในการอยู่รอด เช่น การใช้จมูกดมกลิ่น เราจะสังเกตได้ว่าสุนัขและแมวที่สุขภาพดีจมูกมักจะเปียก และตัวของมันก็มักเลียจมูกตัวเองบ่อย ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์รับกลิ่น ซึ่งมีการวิจัยพบว่าสุนัขมีความละเอียดในการแยกแยะกลิ่นมากกว่าคนเราถึง 1,000 เท่า ส่วนแมวมีความไวของประสาทรับกลิ่นราว 10 เท่าของคน

ส่วนเรื่องการได้ยิน มีการศึกษาเปรียบเทียบพบว่าแมวมีประสาทสัมผัสด้านเสียงดีกว่าสุนัขและคนเรานับ 10 เท่า และจะมีการควบคุมกล้ามเนื้อที่ใบหูเพื่อเป็นเหมือนจานดาวเทียมรับแรงสั่นสะเทือนและความถี่ต่าง ๆ ที่มากระทบ จึงเป็นทักษะที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเป็นนักล่าตามธรรมชาติและทำให้เป็นสัตว์เลี้ยงแสนรู้ประจำบ้านนั่นเอง

จะเห็นได้ว่า ธรรมชาติมีการออกแบบและวิวัฒนาการประสาทสัมผัสด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้กลิ่น การได้ยินทั้งของสุนัข แมว เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการมีชีวิตรอด และสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม จนกลายมาเป็นเพื่อนแสนรู้สี่ขาของคนเราตลอดจน ปัจจุบันนี้

8 สิ่งดี ๆ จากการมี สุนัข แมว เป็นเพื่อน

สุนัข แมว เป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่คู่ครอบครัว คลุกคลีกับคนเรามาตั้งแต่สมัยโบราณนับพันปีเลยก็ว่าได้ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ได้สังเกตเห็นว่าในรูปสลักจากปิระมิดในอียิปต์ มีรูปแมวอยู่บนนั้นในลักษณะใกล้ชิดกับคน ส่วนสุนัขเองก็อยู่คู่กับหลายราชวงศ์ เช่น อังกฤษและไทยมานานหลายร้อยปี ดังที่มีสุนัข ย่าเหล ของในหลวง ร.6 และ คุณทองแดง ของในหลวง ร.9 ที่แสดงถึงความใกล้ชิดผูกพันกับคน

วันนี้เรามี “8 สิ่งดี ๆ จากการมี สุนัข แมว เป็นเพื่อน” มาฝากกัน เผื่อใครหลายคนจะอยากมีเพื่อนเป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยเหล่านี้กันมากขึ้น

1. ทำให้คุณกระฉับกระเฉง

การเลี้ยงสุนัข แมว ทำให้คุณมีความแอคทีฟ active มากขึ้น เพราะเขาจะมาชวนคุณขยับตัวเสมอ ๆ โดยเฉพาะสุนัขที่เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์จะร่าเริงมีความสุขกับการได้กระโดดวิ่งเล่นไปกับคุณ

2. ทำให้คุณได้ออกกำลัง

อย่างที่คุณเห็นในหนังฝรั่งที่เจ้าของมักโยนจานร่อนแล้วให้สุนัขไปวิ่งเก็บ อย่าลืมว่า เพียงขยับก็เท่ากับออกกำลังกาย คุณจึงได้ออกกำลังกายมากขึ้นกับสัตว์เลี้ยงเหล่านี้

3. ช่วยให้หายเครียด

เวลาที่คุณมีปัญหาจากการทำงาน ไม่ว่าจะหงุดหงิดเครียดแค่ไหน แค่กลับมาเจอเจ้าสุนัข แมว ตัวโปรด คุณจะรู้สึกประหลาดใจว่าความเครียดที่มี อาการเซ็งต่าง ๆ หายไปเกือบหมด

4. รู้สึกมีคุณค่า

เพราะอาการทำตัวอ้อล้อ กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ทุกวันที่เห็นคุณกลับมาจากทำงาน ทำให้คุณรู้สึกได้ทันทีว่าคุณมีค่ากับพวกเขามากกว่าใคร ๆ

5. ยิ้มง่ายกับเสน่ห์น่ารัก ๆ

สุนัข แมว มีประสาทสัมผัสทางการได้ยินและรับกลิ่นที่ดีกว่าคนหลายพันเท่า ธรรมชาติข้อนี้จึงทำให้สัตว์เลี้ยงสองสายพันธุ์นี้มีเสน่ห์ สังเกตที่ใบหูจะขยับไปมาเป็นเรด้าร์ ฟังเสียงนั่นนี่ จมูกดมฟุดฟิดเกือบตลอดเวลา

6. ช่วยเตือนภัยความผิดปกติ

หากมีสิ่งผิดปกติ สุนัข แมว จะทำให้คุณรู้ก่อนคนอื่น เพราะเขาจะเห่าหรือร้องเรียกก่อนที่ตาคุณจะเห็น เช่น มีคนแปลกหน้า มีงู เป็นต้น

อยากมีเพื่อนเป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อย

7. ช่วยทำภาระกิจ

สุนัข มีอุปนิสัยที่ชอบอยู่คลุกคลีกับคน และว่ากันว่ามีความฉลาดเท่ากับเด็ก 7 ขวบ จึงนิยมนำมาฝึก เช่น สุนัขตำรวจช่วยดมกลิ่นหาสิ่งผิดกฎหมาย สุนัขนำทางคนพิการทางสายตา เป็นต้น

8. เป็น Nurse Aid ประจำตัว

สุนัขสามารถฝึกเป็น “บุรุษพยาบาล” เตือนเจ้าของว่า กำลังจะเป็นโรคลมชักกำเริบได้ หรือบอกได้ว่าเจ้านายกำลังเป็นโรคมะเร็งจากกลิ่นและสัมผัสที่ตาคนเราไม่อาจมองเห็นได้

สุนัข แมว ชอบคลุกคลีกับคนมากกว่าสัตว์อื่น ๆ หากคุณได้อยู่ใกล้ชิดกับเขา จะรู้ได้ถึงเสน่ห์และข้อดีอีกมายมายจากสัตว์เลี้ยงเหล่านี้

7 อาหารต้องห้ามสำหรับน้องแมว ที่คนเลี้ยงแมวต้องรู้…

เชื่อว่าหลายครอบครัวที่เลี้ยงน้องแมว รักและดูแลพวกเขาเหมือนกับเป็นสมาชิกอีกคนหนึ่งในครอบครัว รวมถึงเรื่องอาหารการกินที่อาจให้อาหารอื่นๆ ที่นอกเหนือจากอาหารเม็ดสำหรับแมวร่วมด้วยนั้น หากให้อาหารน้องแมวอย่างถูกต้องก็ถือว่าดีไป แต่หากว่ากำลังให้อาหารหรือป้อนยาอย่างผิดๆ ก็จะกลายเป็นโทษต่อร่างกายของน้องแมวได้ ทั้งในแบบสะสมค่อยเป็นค่อยไป หรืออันตรายแบบเฉียบพลันถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้นก่อนที่เราจะให้อาหารน้องแมวอย่างผิดๆ จนเกิดเหตุที่น่าเสียใจขึ้น เราจึงควรมาเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันว่า อาหารต้องห้ามสำหรับน้องแมวสุดรักของเรานั้นมีอะไรบ้าง จะได้หลีกเลี่ยงได้ทันเสียตั้งแต่วันนี้

1.นมวัว – เนื่องจากในร่างกายของน้องแมวไม่มีเอนไซม์ที่สามารถย่อยนมวัวได้ การให้นมวัว จึงไม่ส่งผลดีต่อน้องแมวอย่างแน่นอน เพราะจะทำให้น้องแมวเกิดอาการท้องเสียได้ง่าย รบกวนระบบการย่อยอาหารและการทำงานของลำไส้โดยรวมทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากโดยเฉพาะหากจะป้อนนมให้กับลูกแมว ควรให้เป็นนมสำหรับลูกแมวโดยเฉพาะ หรือหากเป็นยามฉุกเฉินที่ไม่สามารถหานมสำหรับลูกแมวได้จริงๆ ก็ควรเลือกนมแพะมาป้อนไปก่อน จากนั้นค่อยรีบหานมสำหรับลูกแมวมาป้อนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

2.ช็อคโกแลต – ในช็อคโกแลตมีสิ่งที่ไม่ดีต่อร่างกายของน้องแมวปนอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความหวานที่เกินพอดี สารพิษสำหรับน้องแมว และคาเฟอีนที่จะส่งผลโดยตรงต่อหัวใจของน้องแมว ดังนั้นจึงควรระวัง ถึงน้องแมวจะมาสะกิดขอลองชิม ก็อย่าป้อนให้น้องแมวเด็ดขาดเชียวนะ

ก้างปลา ไม่ได้ดีต่อแมว

3.ก้างปลา – แน่นอนว่าปลานั้นเป็นของชอบของน้องแมว แต่ไม่รวมถึงก้างปลาที่สามารถทำอันตรายกับคอ ทางเดินหายใจ และทางเดินอาหารของน้องแมวอย่างแน่นอน ทุกครั้งที่ให้ปลากับน้องแมว ควรแกะก้างปลาออกก่อนให้หมด บางทีคิดเอาเองว่าแมวเลาะก้างได้เอง โยนปลาทิ้งไว้แล้วหนีไปดูทีเด็ดบอลออนไลน์พักใหญ่กลับมาดูแมวสุดที่รักอาจชักเพราะก้างติดคอได้เหมือนกัน รวมถึงโอกาสที่ก้างปลาจะไปสร้างความระคายเคืองให้กับ คอ ทางเดินหายใจ และทางเดินอาหารนั้นมีมาก อาจแสดงอาการด้วยการไอแบบมีเลือดปนออกมาได้

4.ยาพาราเซตามอล – ข้อนี้ขอทำเครื่องหมายดอกจันไว้เลยว่า *อันตรายมาก* ห้ามให้น้องแมวกินยาพาราเซตามอลโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ เนื่องจากพาราเซตามอลจะเข้าไปทำลายตับและไต ทำให้เม็ดเลือดแดงแตก เกิดอาการไตวาย ระบบหมุนเวียนเลือดพัง อันตรายถึงชีวิต

5.ไข่ดิบ – อาจเป็นอันตรายที่ไม่เฉียบพลัน แต่เป็นอันตรายที่สะสมในร่างกายของน้องแมว เนื่องจากในไข่ดิบมีแบคทีเรียหลายชนิด หนึ่งนั้นคือ แบคทีเรียอีโคไล ที่ทำให้น้องแมวท้องเสียท้องร่วงได้ง่ายมาก ระบบการย่อยอาหารและลำไส้จะรวนไปหมด ทางที่ดีอย่าให้น้องแมวกินไข่ดิบจะดีกว่า

6.องุ่น – อย่ามองว่าองุ่นไม่มีพิษภัย แบ่งให้น้องแมวชิมก็ได้ไม่อันตราย เพราะแท้จริงแล้วองุ่นมีผลโดยตรงต่อไตของน้องแมว มีโอกาสที่จะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน นำไปสู่อาหารไตวาย มีอันตรายถึงชีวิต

รอบรู้เรื่องการย่อยอาหารในแมวเหมียว

7.ของทอด – โดยทั่วไปของทอดจะมีสารปรุงรสในปริมาณที่ค่อนข้างมาก ซึ่งระบบร่างกายของน้องแมวไม่สามารถขับไล่สารพิษออกจากร่างกายได้อย่างมนุษย์ จึงทำให้ระบบไตทำงานหนักมากจนเกินไป และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งในน้องแมวได้อีกด้วย

อาหารหลายชนิด เราคิดกันไปเองว่าน้องแมวกินร่วมกับพวกเราได้ แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ แถมยังเป็นอันตรายต่อร่างกายของน้องแมวที่เรารักอีกด้วย ดังนั้นคนเลี้ยงแมวจึงควรศึกษาและใส่ใจในเรื่องของอาหารการกินสำหรับน้องแมวให้ดี จึงจะสามารถเลี้ยงดูน้องแมวให้มีสุขภาพที่แข็งแรง อยู่กับพวกเราอย่างมีความสุขไปได้อีกนานๆ

รู้หรือไม่ พิพิธภัณฑ์สุนัขและแมวมีอยู่ทั่วโลก

สุนัขและแมวอยู่ร่วมกับมนุษย์มานานหลายศตวรรษ เป็นทั้งเพื่อน เป็นผู้อารักขาป้องกันและเป็นที่รักของผู้เป็นเจ้าของ คนส่วนใหญ่จะอารมณ์ดีเวลาเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเลื่อนดูภาพสุนัขและแมวที่น่ารักในเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรม ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของคนรักสัตว์อาจทวีคูณมากกว่าเดิมหากคุณได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สัตว์เลี้ยงที่มีอยู่มากมายทั่วโลก เป็นสถานที่ที่ควรแวะเข้าไปเยี่ยมชมสักครั้ง สุนัขและแมวเป็นสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รักของคนทั่วโลก จึงไม่แปลกใจที่มีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับสัตว์เลี้ยงแสนรักของตน

พิพิธภัณฑ์สัตว์สัตว์เลี้ยง ที่คุณอาจจะไม่รู้จัก

พิพิธภัณฑ์หมาและแมวอย่างน้อย 17 แห่งกระจายอยู่ทั่วโลกตั้งแต่รัฐมิสซูรีทางตอนกลางของสหรัฐอเมริกาไปยังมาเลเซียไปจนถึงเมืองมินสค์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศเบลารุส หนึ่งในนั้นคือ “Ernest Hemingway Home And Museum” เป็นสถานที่รวบรวมเรื่องราวสัตว์เลี้ยงของนักเขียนผู้เป็นตำนาน “Ernest Hemingway” ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นคนรักแมวมาก ในขณะที่เขาไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ยังสามารถเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แมวของเฮมมิงเวย์ได้ที่บ้านเก่าของเขาในเมืองคีย์ เวสต์ รัฐฟลอริด้า ที่นี่เลี้ยงแมวไว้ประมาณ 40-50 ตัวเห็นได้จะ ล้วนเป็นลูกหลานของเจ้าเหมียวตัวโปรดที่นักประพันธ์เลี้ยงไว้สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่

ต่อไปเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์เลี้ยง “Presidential Pet Museum” ความหมายตรงตามชื่อคือสัตว์เลี้ยงของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐนั่นเอง ทุกสิ่งในพิพิธภัณฑ์อุทิศให้กับสัตว์เลี้ยงของผู้นำเกือบทุกคนในประวัติศาสตร์ของอเมริกา ขณะนี้พิพิธภัณฑ์สัตว์เลี้ยงของประธานาธิบดีปิดปรับปรุง แต่คุณสามารถสอดส่องดูสัตว์เลี้ยงของอดีตประธานาธิบดีทุกท่านได้ในเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ ส่วนผู้นำสหรัฐคนปัจจุบันข่าวว่ายังไม่มีสัตว์เลี้ยงในสังกัดในขณะนี้

ใกล้บ้านเราหน่อยก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์ Kuching Cat ในเมืองกูชิงซึ่งเป็นเมืองขนาดใหญ่ในเกาะบอร์เนียว ประเทศมาเลเซีย คำว่า Kuching แปลว่าแมวในภาษามาเลย์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีสิ่งประดิษฐ์เกี่ยวกับแมวมากกว่า 2,000 ชิ้นย้อนหลังไปถึง 5,000 ปี แสดงให้เห็นว่าเมืองนี้มีความรักความผูกพันกับแมวมาก คนรักแมวไปเที่ยวแล้วไม่ผิดหวัง อีกแห่งที่คล้ายกันคือพิพิธภัณฑ์ Maneki Neko หรือแมวนำโชค มีอยู่ 2 แห่งในญี่ปุ่นรวมทั้งอีกแห่งในเมืองซินซินเนติ รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐ พิพิธภัณฑ์ล้นไปด้วยตุ๊กตาและเครื่องรางรูปแมวให้ชื่นชมหรือซื้อนำกลับบ้านไปพร้อมกับคุณเพื่อให้แมวโชคดีอยู่ใกล้กับหัวใจเสมอ

คุยเรื่องพิพิธภัณฑ์สุนัขกันบ้าง “Dog Collar Museum” เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับสุนัขล้วนๆ ตั้งอยู่ที่ ปราสาทลีดส์ในเมืองเคนท์ ประเทศอังกฤษ เป็นแหล่งสะสมปลอกคอสุนัขจากศตวรรษที่ 16 ถึง 19 คนมาเที่ยวกันจำนวนมากก็เพื่อดูปลอกคอสุนัขนี่เอง ต่อไปเป็นพิพิธภัณฑ์สุนัขในสหรัฐชื่อว่า “American Kennel Club Museum Of The Dog” ในเมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี่ ซึ่งกำลังจะย้ายไปนิวยอร์ก ซิตี้ เร็วๆ นี้ ผู้ที่ชื่นชอบสุนัขจากทั่วโลกจะได้สัมผัสถึงความรักความเข้าใจอันลึกซึ้งระหว่างเจ้าของและสุนัขอันเป็นที่รัก นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมให้เจ้าของพาสุนัขไปร่วมงานด้วยในช่วงบ่ายวันสุดสัปดาห์ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนตุลาคม เห็นแล้วคุณจะเข้าใจว่าความรักความผูกพันทำให้สุนัขและกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวได้อย่างไร

รู้หรือไม่ พิพิธภัณฑ์สุนัขและแมวมีอยู่ทั่วโลก

ความสุขสร้างได้ แค่เลี้ยงสุนัขกับแมว

หลายคนเลี้ยงสุนัขและแมวไว้ในบ้าน รู้สึกว่าเติบเต็มครอบครัวให้มีความสุขและอบอุ่นมากขึ้น เป็นเรื่องจริงทีเดียว ผลการวิจัยของผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลี้ยงในสหราชอาณาจักรบ่งชี้ว่าการรับสุนัขและแมวเข้ามาเลี้ยงดูแล เป็นปัจจัยบวกทำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จ จากการศึกษาพบว่าการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงช่วยเพิ่มระดับความสุขและความสำเร็จในชีวิตมากขึ้นอีกระดับ ผู้เชี่ยวชาญที่สำรวจเจ้าของสุนัขและแมว 1,000 คนที่มีอายุเกิน 55 ปีและผู้ใหญ่วัยเดียวกันที่ไม่เลี้ยงสัตว์จำนวน 1,000 คนเท่ากัน พบว่าผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัวคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิต กลุ่มคิดบวกมีจำนวนมากเป็นสองเท่าของผู้ที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ชนิดใดเลย ผู้วัยเกษียณที่มีสัตว์เลี้ยงต่างก็มีรายได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้เลี้ยงสุนัขและแมว

นอกจากนี้คนรักสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มที่จะแต่งงาน มีบุตร จบปริญญาจากมหาวิทยาลัยและได้งานที่ดีทำตามความฝัน เจ้าของสัตว์เลี้ยงยังทำกิจกรรมออกกำลังกายมากเกือบสองเท่าของคนที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ สุขภาพดีกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเล่นกับสัตว์เลี้ยงเพิ่มอัตราการเต้นหัวใจ เลือดสูบฉีดแรง พาสุนัขไปเดิน เล่นกับแมว กระตุ้นการออกกำลังกายและทำให้มีความสุขมากขึ้น เป็นผลดีทั้งกับสัตว์เลี้ยงและผู้เป็นเจ้าของ ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าของสุนัขและแมว 9 ใน 10 เชื่อว่าสัตว์เลี้ยงของพวกเขาเป็นเพื่อนที่ส่งเสริมกิจกรรมผ่อนคลายความเครียด ดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ จึงเจียดเวลาเล่นสนุกกับสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ

งานวิจัยเรื่องการเลี้ยงสุนัข แมวส่งผลดีต่อเจ้าของสัตว์เลี้ยงสนับสนุนให้ที่มีอายุมากกว่า 55 ปี เริ่มต้นเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อนเพราะเห็นประโยชน์ในเชิงบวกได้มาก แม้แต่บ้านพักคนชราชั้นนำในสหราชอาณาจักรยังพิจารณานำสัตว์เลี้ยงเข้ามาช่วยบำบัดความเหงาให้ผู้สูงวัย ยอมรับให้เลี้ยงสัตว์ที่ได้รับการฝึกฝนให้มีมารยาทดีเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน เพื่อให้เจ้าของได้เพลิดเพลินกับสุนัข แมวและใช้ชีวิตในช่วงปีที่เกษียณอายุอย่างมีคุณภาพ บางกรณีมีการนำสุนัขและแมวที่เป็นโครงการอาสาสมัครเข้ามาให้ความบันเทิงกับผู้สูงวัยที่บ้านพักคนชราด้วย

นักวิจัยอธิบายว่าสัตว์เลี้ยงทำให้เจ้าของมีความสุข สนุกและหัวเราะมากขึ้น ผ่อนคลายความเหงาและบรรเทาความเครียดได้ เจ้าของสุนัขและแมวเกือบครึ่งยอมรับว่าสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนคุยแก้เหงา ได้พูดคุยปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึก คนชราถึง 16% ในผลการสำรวจนี้ยอมรับว่าถ้าไม่มีสัตว์เลี้ยงไว้คุยด้วยแล้ว พวกเขาก็ไม่รู้จะคุยกับใคร คนชรากว่าครึ่งของการสำรวจนี้ไม่เคยรู้สึกเหงาเพราะมีเพื่อนรักสี่ขาคอยเป็นเพื่อนอยู่แล้ว สุนัขและแมวช่วยกระตุ้นให้ผู้สูงวัยลุกขึ้นออกกำลังกาย หลายคนบอกว่าสัตว์เลี้ยงทำให้พวกเขามีจุดมุ่งหมายในชีวิต มีช่วงเวลาดี ๆ ด้วยกัน ไม่ได้ตื่นมาแล้วรู้สึกว่างเปล่าอีกต่อไป

สุนัข แมว เป็นโรคอ้วน อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

คุณเคยสงสัยไหมว่า สุนัข แมว ตัวกลมน่ากอดของคุณเป็นโรคอ้วนหรือเปล่า แมวเป็นโรคเบาหวาน สุนัขป่วยโรคมะเร็ง นกมีคอเลสเตอรอลสูง หรือแม้แต่กระต่ายที่ก้มลงเลียขนทำความสะอาดตัวเองไม่ได้ ทุกตัวเป็นโรคอ้วนเหมือนกันหมด เกิดจากสาเหตุใดกันแน่ น้ำหนักเกินและโรคอ้วนเป็นปัญหาใหญ่ ปัญหานี้พบมากในประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก

ดร. เออร์นี วอร์ด สัตวแพทย์ ผู้ก่อตั้งสมาคมป้องกันสัตว์เลี้ยงที่น่าสงสาร อธิบายว่า เรากำลังเผชิญปัญหาใหญ่ เพราะสัตว์เลี้ยงเกือบทั้งหมดในสหรัฐมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน สถิติล่าสุดเห็นชัดว่าสุนัขประมาณ 54% และแมว 59% มีพิกัดน้ำหนักเกินมาตรฐาน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสัตว์เลี้ยงเป็นโรคอ้วนแล้ว สำหรับสัตว์เลี้ยงทั่วไป เช่น สุนัข แมว แนะนำให้ดูไขมันหน้าท้อง ถ้าพุงย้วย ท้องห้อยหรือลากบนพื้น จับคลำไม่เจอซี่โครง มีแต่ชั้นไขมันนุ่ม ไม่เห็นเอว เริ่มส่อเค้าปัญหาโรคอ้วนแล้ว แต่ถ้าเป็นสัตว์แปลก เช่น นก กระต่าย หรือหนูตะเภา อาจจะสังเกตยาก ต้องไปหาสัตว์แพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์แปลกโดยเฉพาะ

การตรวจสอบว่าสัตว์เลี้ยงมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนหรือไม่ สัตวแพทย์ประเมินด้วยวิธีเช็คน้ำหนักส่วนเกิน เรียกว่า Body Condition Score หรือ BCS ซึ่งแบ่งความสมบูรณ์ของร่างกายออกเป็นระดับ อ้วนเกินไปไม่ได้และผอมเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน ทุกวันแมวเซเลบล้วนอ้วนท้วนน่ากอด ทำให้เจ้าของหลายคนบ่นกับสัตวแพทย์ว่า น้องผอมเกินไป ทำยังไงดี ทั้งที่จริง สุนัข แมว นั้นมีสุขภาพสมบูรณ์กำลังดี คุณอาจไม่รู้ว่าหมาแมวอ้วนที่ต้องควบคุมอาหารและลดความอ้วนนั้นเป็นงานหนัก เวลาเดินจะเห็นความลำบาก เหนื่อยง่าย เพราะพกน้ำหนักและไขมันส่วนเกินในช่องท้องไว้ตลอดเวลา ถ้าเจ้าของไม่ดูแลอย่างถูกวิธีจะอ้วนได้กระทั่งกระต่ายและนก น่าเศร้าที่สุดคือสัตว์เลี้ยงที่อ้วนจนยืนไม่ไหว ได้แต่นั่งหรือนอนหมอบอยู่ท่าเดียว ไม่คล่องตัว ไม่ปราดเปรียวและซุกซนเหมือนแต่ก่อน

โรคอ้วนในสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

สัตว์น้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และไม่น่ารัก เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้อายุสั้น การรักษาก็เสียเวลาและราคาแพง ละลายทรัพย์ในกระเป๋าสตางค์ไปไม่น้อย สัตว์เหล่านั้นจะทุกข์ทรมานจากน้ำหนักเกิน อาจเป็นโรคเบาหวาน , โรคความดันโลหิตสูง , โรคไต , โรคมะเร็ง , โรคกระดูกและข้ออักเสบจะเห็นความผิดปกติที่พบได้บ่อยคือโรคข้อเข่าเสื่อมทำให้เจ็บปวดและเป็นอัมพาตได้ สำหรับสัตว์เลี้ยงที่แปลก เช่น นก อาจเกิดปัญหาโรคหัวใจและแพทย์ไม่สามารถผ่าตัดหัวใจได้ ดังนั้นเจ้าของควรจะป้องกันและจัดการควบคุมน้ำหนักสัตว์เลี้ยงให้ดี ถ้า สุนัข แมว เริ่มอวบอ้วนเกินมาตรฐาน ควรพาไปตรวจเลือดและตรวจสุขภาพ ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายที่เหมาะสมเช่นเดียวกับ เพื่อลดน้ำหนักส่วนเกินและรักษาร่างกายให้แข็งแรง

แนะนำว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงควรทำตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ว่าจะให้อาหารแก่สัตว์เลี้ยงปริมาณมาน้อยขนาดไหน หากทนเสียงออดอ้อนไม่ไหว อาจทดแทนด้วยของว่าง เช่น แครอท , ถั่วเขียว , ผักกาดหอมหรือผักอื่นๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ เจ้าของต้องพาสัตว์เลี้ยงไปออกกำลังกาย กระตุ้นให้ตื่นเต้นและวิ่งสนุกไปรอบ ๆ ช่วยให้แข็งแรงและคุณภาพชีวิตดีขึ้น คุณควรสอบถามเรื่องน้ำหนักสัตว์เลี้ยงทุกครั้งที่ไปพบสัตวแพทย์ ถ้าแพทย์ท่านใดละเลย ไม่ต้องการจะคุยเรื่องนี้ ให้หาสัตวแพทย์คนใหม่ได้เลย

สุนัขเป็นโรคอ้วน