แนะนำสุนัข แมว ยอดนิยมของคนไทยอย่างละ 3 สายพันธุ์

สุนัข แมว คือสัตว์เลี้ยงยอดนิยมสำหรับคนไทยมาช้านาน เพราะสัตว์เลี้ยงทั้ง 2 ชนิดนี้ล้วนเป็นสัตว์เลี้ยงที่สามารถหามาเลี้ยงได้ง่าย การนำมาเลี้ยงยังไม่ข้อกำหนดทางกฎหมายใด ๆ ที่ยุ่งยาก ทำให้มีความแพร่หลายในการเพาะเลี้ยงอย่างกว้างขวาง เกือบทุก ๆ บ้านที่มีสัตว์เลี้ยงก็ล้วนเลือก สุนัข แมว เป็นสัตว์เลี้ยงด้วยกันทั้งนั้น

อย่างไรก็ตามการที่จะนำสุนัข แมว มาเลี้ยงนั้นจำเป็นต้องรู้จักสายพันธุ์ของมันให้ดี เพราะ สุนัข แมว แต่ละสายพันธ์ล้วนมีลักษณะนิสัยพื้นฐานที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงจะขอแนะนำสุนัข แมว แต่ละสายพันธุ์ที่คนไทยนิยมนำมาเลี้ยงตามรายละเอียดดังต่อไปนี้

สุนัข

พันธุ์ชิวาวา เป็นสุนัขขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายของคนไทย เพราะด้วยขนาดกะทัดรัดที่ผู้เป็นเจ้าของสามารถพาไปที่ใด ๆ ก็ได้ตามต้องการแล้ว ยังมีนิสัยขี้อ้อน จนผู้เป็นเจ้าของสุนัขมักใจอ่อนไม่สามารถหยุดเล่นกับมันได้เลย แต่มีปัญหาที่ชอบเห่าเสียงดังจนอาจน่ารำคาญเกินไป

พันธุ์ปอมเมอเรเนียน สุนัขพันธุ์เล็กยอดนิยมอีกหนึ่งสายพันธุ์ ด้วยขนฟู ๆ ที่ตัดแต่งทรงได้หลากหลาย ถือเป็นหมาที่กระตือรือร้นที่จะเล่นอยู่เสมอ แต่ก็มีปัญหาที่ชอบเห่ามากไปหน่อย

พันธุ์บีเกิล สุนัขสายพันธุ์จากประเทศอังกฤษนี้ ถือเป็นสุนัขสำหรับล่าเนื้อที่มีประสาทสัมผัสไวมาก สามารถช่วยเจ้าของสุนัขในการเตือนภัย แต่ในกรณีที่ใช้เฝ้าบ้านอาจต้องระมัดระวังบ้างเพราะเข้ากับคนได้ง่ายเกินไปพันธุ์เปอร์เซีย แมวขนสวยที่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้เลี้ยงแมว

แมว

พันธุ์เปอร์เซีย แมวขนสวยที่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้เลี้ยงแมวเป็นอย่างมาก เพราะต่างหลงใหลในขนยาว ๆ นุ่ม ๆ ของมัน นิสัยขี้เล่นไม่ดุร้ายเท่าใดนัก แต่ความที่เป็นสายพันธุ์ที่มีขนยาวจึงทำให้ยากต่อการดูแลอยู่สักหน่อย

พันธุ์อเมริกันชอร์ตแฮร์ เป็นแมวขนสวยที่ได้รับความนิยมในหมู่เจ้าของแมวไม่น้อย เป็นแมวสายพันธุ์ที่ชอบเคลื่อนที่ตลอดเวลา กระตือรือร้นที่จะเล่น มีความฉลาดและฝึกสอนได้ง่าย

พันธุ์วิเชียรมาศ เป็นแมวสายพันธุ์ไทยที่ได้ชื่อว่าการเลี้ยงเอาไว้จะสร้างมงคลให้กับผู้เป็นเจ้าของ เป็นแมวที่มีความปราดเปรียว ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเอง แต่ไม่ค่อยร้องกวนให้เจ้าของรำคาญใจแต่อย่างใด และด้วยความเป็นสายพันธุ์ไทย จึงทำให้การดูแลโดยผู้เลี้ยงแมวชาวไทยทำได้ง่ายมากกว่าสายพันธุ์ต่างชาติอื่น ๆ

เมื่อทราบนิสัยของสุนัข แมว แต่ละสายพันธุ์แล้ว เชื่อได้ว่าจะช่วยให้ผู้เป็นเจ้าของสามารถดูแลสัตว์เลี้ยงของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง ทำให้สุนัข แมว มีนิสัยที่ร่าเริง สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี

สิ่งที่ต้องรู้ หากคิดจะเลี้ยงสุนัขและแมว

การเลี้ยงสุนัขและแมวเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีหลายพันธุ์ที่ขนาดเล็ก ขนสั้น เลี้ยงในระบบปิดได้สะดวก ทั้งยังมีอุปนิสัยเชื่องกับเจ้าของและไม่ต้องดูแลตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนั้น ยังสามารถสร้างความผ่อนคลายลดความเครียดจากการทำงานให้แก่เจ้าของได้

ในบทความนี้ เราจึงรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจที่ผู้ต้องการเลี้ยงสุนัขและแมวควรรู้ สำหรับการเตรียมตัวอย่างเหมาะสม ดังนี้

1. พื้นที่ในการเลี้ยงมีความแตกต่างกัน สุนัขเป็นสัตว์ที่ต้องการสนามวิ่งเล่นออกกำลังกายมากกว่าแมว ถ้าเลี้ยงอยู่ในพื้นที่แคบระบบปิด เช่น หอพัก คอนโดมิเนียม ก็ต้องเลือกสายพันธุ์ที่ชอบคลุกคลีใกล้ชิดกับคนและมีขนาดเล็ก เช่น ปอมเมเรเนียน ชิวาวา พุดเดิ้ล และต้องมีเวลาพาไปเดินเล่นตามสวนสาธารณะเป็นระยะ

2. พื้นที่สำหรับการขับถ่าย เพื่อสุขอนามัยที่ดี คุณควรนำสุนัขออกไปถ่ายมูลที่สนาม และหากเป็นพื้นที่สาธารณะก็ต้องดูแลในการเก็บ ฝังหรือกำจัดมูลสุนัขด้วย ส่วนแมว หากเลี้ยงตั้งแต่เล็ก ก็สามารถฝึกให้ขับถ่ายในกระบะทรายได้ง่าย โดยต้องมีการเปลี่ยนทรายเป็นประจำ ทั้งนี้กลิ่นของปัสสาวะแมวจะค่อนข้างรุนแรง ควรมีพื้นที่ที่ระบายอากาศได้สะดวกด้วย

3. อาหารสำหรับสุนัขและแมว เป็นสิ่งที่คุณต้องใส่ใจ ทั้งเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการ วันหมดอายุ กลิ่นและรสที่สัตว์เลี้ยงชื่นชอบ ซึ่งปัจจุบันมีการผลิตออกมาหลายรูปแบบ เช่น อาหารเม็ด อาหารเปียกบรรจุกระป๋อง แท่งสติ๊กสำหรับเคี้ยว ฯลฯ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่างกัน ทั้งยังมีแบบพิเศษสำหรับสัตว์ในช่วงป่วย ที่ต้องการสารอาหารเฉพาะโรคในการฟื้นฟูร่างกายด้วย

สิ่งที่ต้องรู้ หากคิดจะเลี้ยงสุนัขและแมว

4. การอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงสองชนิดนี้มีความแตกต่างกัน คือ สำหรับสุนัขควรอาบน้ำให้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ส่วนแมวเดือนละ 1 ครั้งก็เพียงพอแล้ว และหลังจากการอาบน้ำ ควรทำการเป่าขนสัตว์ให้แห้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อราจากความชื้นที่ผิวหนังและเกิดปัญหาขนร่วงในภายหลัง

5. การพบสัตวแพทย์และฉีดวัคซีนสุนัขและแมวตามระยะ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตามวัย ทางที่ดีที่สุด ควรนำสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์ตั้งแต่อายุน้อย เพื่อทำประวัติการตรวจ และฉีดวัคซีน รวมถึงกินยาถ่ายพยาธิตั้งแต่เนิ่น ๆ หลังจากนั้น ควรพาไปพบสัตวแพทย์เป็นระยะตามปฏิทินวัคซีน รวมถึงต้องฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าเป็นประจำทุกปีด้วย เพื่อป้องกันการติดเชื้อไปสู่สัตว์ชนิดอื่นและคน

จะเห็นได้ว่าการดูแลสัตว์เลี้ยงแม้แต่สุนัขและแมวที่เราคุ้นเคย ก็ต้องมีความรับผิดชอบสูง จึงควรศึกษาข้อมูลและเตรียมความพร้อมทั้งด้านสถานที่ อุปกรณ์เครื่องใช้ของสัตว์เลี้ยง รวมถึงเงินสำรองสำหรับค่าอาหาร ยา วัคซีน ฯลฯ เพื่อให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพที่ดีแข็งแรงได้ยาวนาน

ชวนทำความรู้จักโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัขและแมว

โรคพิษสุนัขบ้า หรือเรียกกันทั่วไปว่า โรคกลัวน้ำ นั้น เกิดจากเชื้อไวรัส Rabies เป็นโรคติดต่อในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เช่น สุนัข แมว ค้างคาว ลิง กระรอก กระแต รวมถึงคนด้วย ซึ่งหากดูด้วยกล้องจุลทรรศน์จะพบว่าเชื้อไวรัสชนิดนี้มีรูปร่างคล้ายกับกระสุนปืน เมื่อสัตว์ที่มีเชื้อนี้กัดคนหรือสัตว์อื่น จะทำให้เกิดการส่งต่อเชื้อไวรัสเข้าสู่ระบบประสาทอย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบันไม่สามารถรักษาได้ คนหรือสัตว์ที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้าจึงเสียชีวิตในเวลาไม่กี่วัน

จากสถิติทางการแพทย์ พบว่าคนส่วนใหญ่จะได้รับเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้า ผ่าน 3 ช่องทาง คือ

1. ถูกสัตว์ที่ติดเชื้อกัดหรือข่วน

2. ถูกสุนัขและแมวที่มีเชื้อโรคนี้เลียตามรอยแผลของผิวหนัง (เชื้ออาศัยอยู่ในน้ำลายสัตว์)

3. สูดดมอากาศที่มีเชื้อปริมาณมากในพื้นที่จำกัด เช่น ถ้ำที่มีค้างคาวอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก

วิธีการสังเกตสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้า

ในระยะ 2- 3 วันแรกของการติดเชื้อ สุนัขและแมวมักจะมีอารมณ์และอุปนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น เดิมชอบอยู่คลุกคลีใกล้กับเจ้าของ ก็จะย้ายไปอยู่ในมุมเงียบ ๆ ตัวเดียว หรือถ้าเคยมีนิสัยขี้กลัว ก็จะมาคลอเคลียใกล้ชิดเป็นพิเศษ เป็นต้น นอกจากนั้น ยังสังเกตได้ว่ามีไข้เล็กน้อย ม่านตาเบิกกว้าง กินอาหารและน้ำลดลง เนื่องจากการควบคุมการลิ้นเริ่มผิดปกติ
หลังจากนั้น สุนัขและแมวจะเริ่มมีอาการกระวนกระวาย อยู่ไม่สุข ตื่นตัว และมักกัดสิ่งที่อยู่รอบตัว (ถ้ามีการล่ามโซ่ก็จะกัดจนเลือดไหลออกจากปาก) ขณะเดียวกันก็จะร้องหอนมากขึ้นจนผิดสังเกต

วิธีการสังเกตสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้า

ในระยะสุดท้าย เรียกว่า ระยะอัมพาต กรณีที่เป็นสุนัข ลิ้นจะสีแดงคล้ำและห้อยออกมานอกปาก น้ำลายไหลมาก ไม่สามารถควบคุมลิ้น มีอาการคล้ายจะขย้อนสิ่งที่อยู่ในลำคอเกือบตลอดเวลา และไม่สามารถทรงตัวได้ สำหรับแมว อาการอาจไม่ชัดเจนอย่างสุนัข แต่จะสังเกตได้ว่ามีความดุร้ายมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไป สัตว์ที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้า มักจะตายในเวลาไม่เกิน 10 วัน

วิธีการป้องกันการติดเชื้อพิษสุนัขบ้า คือ การระมัดระวัง ไม่ให้แมวหรือสุนัขที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนหรือไม่มีเจ้าของ มาข่วนหรือกัด ถ้าเกิดแผลจากสัตว์เหล่านั้น ต้องรีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาด ถูสบู่หลาย ๆ ครั้ง เช็ดด้วยแอลกอฮอล์หรือใส่ยาฆ่าเชื้อเบตาดีน แล้วไปพบแพทย์ เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าต่อไป ทั้งนี้ ต้องทำการฉีดวัคซีนให้ครบตามแพทย์นัดด้วย จึงจะปลอดภัยที่สุด อีกทั้งให้สังเกตอาการสัตว์ตัวนั้นในช่วง 10 วัน หากตายลง ต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ เพื่อสำรวจและควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าในพื้นที่ต่อไป

เคล็ดลับการผูกสัมพันธ์ ระหว่างน้องหมาและน้องแมว

1. แนะนำให้รู้จักกัน

ไม่ว่าจะนำสุนัขหรือแมวตัวใหม่มาเลี้ยง และอาศัยอยู่ร่วมกับสุนัขหรือแมวที่เลี้ยงอยู่ก่อนแล้ว คุณควรเช็คบ้านให้ดีก่อน ว่ามีพื้นที่เพียงพอสำหรับสมาชิกใหม่ เพื่อให้สัตว์เลี้ยงมีพื้นที่ส่วนตัว แรก ๆ คุณต้องจับเค้าแยกกันก่อน เพื่อให้สัตว์เลี้ยงได้ปรับตัว

2. ใจเย็น ๆ ปล่อยให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป

การเลี้ยงสุนัขกับแมวให้อยู่ร่วมกัน ห้ามปล่อยให้สุนัขวิ่งไล่แมวเด็ดขาด เพราะในช่วงแรก ๆ ควรปล่อยให้แมวได้ปรับตัวประมาณ 3-4 วัน เพื่อให้คุ้นเคยกับกลิ่นก่อน แล้วค่อยทำความคุ้นเคยกับสัตว์ชนิดอื่น

3. สลับห้องสัตว์เลี้ยง

เป็นการทำให้ทั้งคู่ได้กลิ่นกันจากที่อยู่ โดยที่ไม่ต้องมองเห็นกัน กลิ่นนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับสัตว์ เพราะสัตว์จะสร้างความคุ้นเคยจากกลิ่น ดังนั้นจึงปล่อยให้สุนัขและแมวอยู่กับกลิ่นเพื่อสร้างความคุ้นเคยกัน

4. รอเวลาที่สุนัขและแมวจะรู้สึกผ่อนคลายกับกลิ่น

หากแมวตกใจกลัวสุนัข ต้องให้เวลากับแมวสักพัก และเมื่อแมวปรับตัวกับกลิ่นได้ ก็นำทั้งคู่มาทำความรู้จักกัน

5. ทำให้สุนัขและแมวมีปฎิสัมพันธ์กันเรื่อย ๆ

เมื่อแมวไม่มีท่าทีว่ากลัวสุนัข หรืออึดอัด ให้นำสุนัขไปผูกเชือกไว้ และปล่อยให้แมวเดินไปมา เมื่อเวลาผ่านไปสุนัขจะเริ่มรับรู้ว่าห้ามวิ่งไล่แมว คุณก็สามารถปล่อยสุนัขได้

เคล็ดลับการผูกสัมพันธ์ ระหว่าน้องหมาและน้องแมว

คนรักสัตว์ควรรู้ โรคที่ สุนัข แมว ต่างก็เป็นได้

สุนัข แมว เป็นสัตว์เลี้ยง 2 สายพันธุ์ที่ใกล้ชิดกับมนุษย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ที่รักสัตว์ทั้งสองชนิดนี้ จึงควรรู้ว่ามีโรคอะไรบ้างที่ทั้งสุนัขและแมวสามารถเป็นได้ เพื่อการป้องกันและดูแลรักษาอย่างทันท่วงที

โรคหนอนพยาธิตัวกลม ตัวแบน ตัวตืด

หนอนพยาธิเป็นปรสิตที่อาศัยอยู่ในร่างกายได้ทั้งคนและสัตว์ สำหรับสุนัข แมว หนอนพยาธิที่พบบ่อย คือ พยาธิใบไม้ในตับ พยาธิใบไม้ในปอด พยาธิตัวตืด พยาธิตัวจี๊ด พยาธิปากขอ ซึ่งมักจะมาจากการปนเปื้อนในอาหารหรือน้ำ หรืออาจเกิดจากลูกสุนัขและแมวที่ดูดนมจากเต้าของแม่ที่เป็นโรคหนอนพยาธิก็ได้เช่นกัน

เพื่อการป้องกันโรคหนอนพยาธิ สัตวแพทย์จึงแนะนำให้เจ้าของพาสัตว์เลี้ยงไปรับยาถ่ายพยาธิกินเป็นประจำทุก 3 เดือนหรืออย่างช้า 6 เดือน

โรคพยาธิหนอนหัวใจ

โรคพยาธิหนอนหัวใจเป็นที่รู้จักกันในบรรดาคนเลี้ยงสุนัขอยู่แล้ว ซึ่งแมวก็เป็นได้เช่นกัน เกิดจากการที่ยุงไปกัดสุนัขที่มีเชื้อ Dirofilaria immitis อยู่ แล้วไปกัดที่แมวต่อ ทำให้ส่งต่อเชื้อกันได้ และเมื่อตัวอ่อนเติบโตขึ้นในร่างกายของสุนัข แมว ก็จะเคลื่อนที่ไปในกระแสเลือดแล้วอาศัยอยู่ตามอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจและปอด ทำให้สัตว์ทั้งสองสายพันธุ์เสียชีวิตได้

สัตวแพทย์จึงแนะนำให้ผู้เลี้ยงป้อนยาเม็ดไอเวอร์เมคติน ยากิน (สำหรับสุนัข) หรือให้ยาเซลาเมคตินแบบหยอดหลัง  (สำหรับสุนัขและแมว) ร่วมกับการดูแลที่อยู่ของสัตว์เลี้ยงไม่ให้มียุงชุม จะช่วยลดความเสี่ยงโรคนี้ได้

โรคติดเชื้อโปรโตซัว Gladiasis

เป็นเชื้อที่ทำให้เกิดปัญหาในระบบลำไส้และทำให้การดูดซึมอาหารลดลง มักมาจากการที่สุนัข แมวถูกเลี้ยงอย่างแออัดรวมกันในสถานที่ที่สุขอนามัยไม่ดี ทำให้เกิดการปนเปื้อนของอุจจาระในอาหารและน้ำ รวมถึงการเลียขนทำความสะอาดของสัตว์ที่มีอุจจาระปนเปื้อนตามตัวด้วย

เมื่อเชื้อเข้ามาสู่ลำไส้ของสุนัขและแมวแล้วจะทำให้เกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรง อุจจาระจะมีกลิ่นเหม็นเน่า และเกิดเป็นโรค IBD (Inflammatory Bowel Disease) หรือลำไส้อักเสบแบบเรื้อรังได้

โรคนี้ต้องป้องกันด้วยการดูแลความสะอาดในที่อยู่ของสัตว์เลี้ยง และหากสัตว์ป่วยแล้ว สัตวแพทย์จะให้กินยาสำหรับฆ่าเชื้อต่อเนื่อง 5 ถึง 7 วัน

นอกจากโรคทั้งสามที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีโรคที่สุนัข แมว เป็นร่วมกันได้อีกหลายชนิดรวมถึงโรคพิษสุนัขบ้าซึ่งคนทั่วไปรู้จักกันดี ผู้ที่เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงจึงควรดูแลเรื่องการฉีดวัคซีนตามกำหนดระยะเวลาอย่าง เพื่อให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อลุกลามไปยังสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ และไม่สร้างปัญหาให้แก่ผู้เลี้ยงในระยะยาวด้วย

คนรักสัตว์ควรรู้ โรคที่ สุนัข แมว ต่างก็เป็นได้

อยากรู้อายุสุนัข แมว เมื่อเทียบกับคนต้องอ่าน

สุนัข แมว เป็นสัตว์ที่ใกล้ชิดคนอย่างมาก เรียกได้ว่าตั้งแต่สมัยโบราณมีความนิยมเลี้ยงสัตว์ทั้งสองชนิดนี้ เพื่อเป็นทั้งเพื่อนสร้างความบันเทิง ลดความเครียด สำหรับสุนัขยังช่วยในการเป็นยามเฝ้าบ้านเรือน และสำหรับแมวเชื่อว่าเรียกโชคลาภได้ ในวันนี้ผู้ที่อยากรู้อายุของสุนัข แมวเมื่อเทียบกับคน พลาดไม่ได้ติดตามอ่านกันเลย

อยากรู้อายุสุนัข แมว เมื่อเทียบกับคน

เปรียบเทียบอายุ สุนัข แมว จากตารางมาตรฐานของสัตวแพทย์

สัตวแพทย์ทั่วโลกบอกอายุสุนัข แมว จากตารางมาตรฐานแก่เจ้าของสัตว์เลี้ยง ดังนี้

หากเป็นสุนัข อายุ 1 ปีแรกจะเท่ากับคนอายุ 15 ปี ส่วนแมว เมื่ออายุครบ 1 ปี จะเทียบเท่าคนวัยเจริญพันธุ์ คือ 24 ปี หลังจาก 1 ปีแรกของสุนัข อายุเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นปีละ  5 ปีของคน โดยประมาณ เช่น อายุสุนัข  2 ขวบจะเท่ากับคน  24 ปี และเมื่อสุนัขอายุ 5 ปี จะเทียบเท่ากับคนวัย 36 ปี

กรณีของแมว อายุจะเพิ่มเป็นสัดส่วนไวกว่าของสุนัข กล่าวคือ แมวที่อายุ 2 ขวบจะเทียบเท่ากับคนอายุ 36 ปี และแมวที่อายุ 5 ปี จะเทียบเท่ากับคนวัยเกือบ 50 ปี

ลักษณะทางกายภาพที่เปลี่ยนแปลงไปของสุนัข แมว ตามวัยที่เพิ่มขึ้น

กรณีที่ไม่ทราบปีเกิดของสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าสุนัข แมว จะมาจากการรับเลี้ยงหรือสงเคราะห์ สัตวแพทย์จะแนะนำให้ดูจากลักษณะกายภาพที่พอจะบ่งบอกได้ถึงอายุของสัตว์เลี้ยงทั้งสอง ดังนี้

1. สุขภาพในช่องปาก

ฟันของสุนัขจะมี 2 ชุด เมื่ออายุประมาณ 1 เดือนจะมีฟันน้ำนม 28 ซี่ และเมื่ออายุ 6 เดือนจะมีฟันแท้ 42  ซี่  ส่วนของแมว จะมีฟันน้ำนม 26 ซี่ เมื่อโตเต็มวัยจะมีฟันแท้ 30 ซี่ เมื่ออายุมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ฟันของสุนัข แมวจะมีลักษณะเหลือง มีคราบหินปูน ฟันหัก  แตกกร่อน หรือหลุดร่วงไป

2.  ระบบกล้ามเนื้อและข้อต่อร่างกาย

สุนัข แมว เมื่ออายุเพิ่มขึ้นจะมีการเคลื่อนไหวช้าลง มีปัญหาข้อเสื่อมเช่นเดียวกับผู้สูงอายุ สังเกตได้จากการเคลื่อนไหวที่ลดน้อยลง ไม่ค่อยเดินขึ้นลงบันได การกระโดดไม่สูงอย่างแต่ก่อน และจำนวนไม่น้อยก็พบว่ามีปัญหาโรคอ้วนและน้ำหนักเกินด้วย

3. ดวงตาและการมองเห็น

สุนัข แมว ที่อายุมากขึ้น ความเป็นประกายในดวงตาจะลดลง มีภาวะโรคตาต้อ การมองเห็นศักยภาพลดลง หากเจ้าของมองดูอาจพบว่าตาขุ่นมัวหรือมีรอยที่กระจกตาด้วย ต่างจากสุนัข แมวที่อายุน้อย ดวงตาจะสดใสเป็นประกายแวววาวและมีการกรอกไปมาอย่างซุกซนตลอดเวลา

อายุสุนัข แมว เมื่อเทียบกับคนต้องอ่าน

สุนัข แมว ต้องการการดูแลที่แตกต่างตามช่วงวัย ผู้เป็นเจ้าของจึงควรคาดคะเนอายุและดูแลสัตว์เลี้ยงใกล้ชิดตามความเหมาะสม เพื่อตอบแทนความสุขและประโยชน์ที่ได้รับจากสัตว์เลี้ยงทั้งสองอย่างเหมาะสมตลอดชีวิต

สิ่งที่ต้องคิดก่อนการมีสัตว์เลี้ยง

การมีสัตว์เลี้ยงเป็นหนึ่งในสิ่งผ่อนคลายความเครียดและบรรเทาความเหงาของคนยุคใหม่นี้ แต่ก่อนที่จะมีสัตว์เลี้ยงคุณควรพิจารณาความพร้อมในสิ่งใดบ้าง จึงจะทำให้ไม่มีปัญหาในอนาคตตามมา

มีพื้นที่และคนดูแลอย่างใกล้ชิด

รู้จักอุปนิสัยของสัตว์เลี้ยง

คุณต้องศึกษาผ่านเว็บไซต์ หรือหนังสือเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงว่าแต่ละสายพันธุ์มีนิสัยอย่างไร แม้ว่าจะเป็นแมว สุนัข ที่คนส่วนใหญ่รู้จักและนิยมกัน ก็ยังมีความแตกต่างตามพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ทำให้มีความดุ ความขี้เล่น ความหวงเจ้าของที่ไม่เท่ากัน คุณจึงห้ามพลาดข้อแรกนี้โดยเด็ดขาด

มีพื้นที่และคนดูแลอย่างใกล้ชิด

สัตว์เลี้ยงจำพวกสุนัข และแมวจำเป็นต้องมีพื้นที่ในการวิ่งเล่น และการขับถ่าย ซึ่งคุณควรต้องจัดสรรพื้นที่ส่วนตัวในการรองรับสิ่งเหล่านี้ หากอาศัยในหมู่บ้านที่มีสวนสาธารณะ หรือมีสวนสาธารณะอย่างสวนลุมพินีใกล้บ้าน ก็ควรมีคนดูแลรับผิดชอบในการเก็บมูลสัตว์ ไม่ให้มีปัญหาสิ่งปฏิกูลเรี่ยราดตามพื้นที่ส่วนรวมด้วย

ศึกษาอาหารที่เหมาะสมกับวัยของสัตว์เลี้ยง

สัตว์แต่ละชนิดจะมีอาหารที่เหมาะสมกับสายพันธุ์ต่างกัน เพื่อพัฒนาการทางสมอง และความสมบูรณ์ของอวัยวะภายในร่างกายที่ดีที่สุด คุณควรศึกษาว่าในช่วงวัยเด็ก วัยเจริญพันธุ์ และวัยชราของสัตว์เลี้ยงที่คุณสนใจต้องเน้นสารอาหารกลุ่มไหน ซึ่งสัมพันธ์กับการบริหารค่าใช้จ่ายรายวันของคุณที่ต้องเพิ่มสูงขึ้นด้วย

การฉีดวัคซีนให้สัตว์เลี้ยง

การเสริมสร้างภูมิต้านทานแก่สัตว์เลี้ยงเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่คุณต้องศึกษา เนื่องจากสัตว์แต่ละสายพันธุ์จะมีโรคประจำตัวอยู่ เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วย น้ำนม อย่างสุนัข แมว หนู กระต่าย จะมีโรคพิษสุนัขบ้าที่สามารถติดต่อมายังคนได้ รวมถึงมีโรคเฉพาะของสัตว์ เช่น ไข้หัดสุนัข และแมว โรคตับ โรคลำไส้ โรคฉี่หนู ที่ทำให้สัตว์ป่วย ทรมาน และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว คุณจึงควรวางแผนการฉีดวัคซีนกับคลินิคสัตวแพทย์ใกล้บ้านอย่างสม่ำเสมอด้วย

การปรับสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม

สำหรับคนที่เลี้ยงสุนัขเพื่อเฝ้าบ้าน ก็ควรทำการถางหญ้าและจัดการพื้นที่รกอันเป็นแหล่งชุมนุมของสัตว์มีพิษอย่างตะขาบ งู รวมถึงโจรผู้ร้ายด้วย เพื่อความสวยงามของบ้านและลดเปอร์เซ็นต์การเกิดอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง ที่จะเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงและตัวคุณได้

การให้ความรักสม่ำเสมอ

ไม่ว่าสัตว์เลี้ยงของคุณจะเป็นสายพันธุ์อะไร การให้เวลา ความเอาใจใส่ และความรักอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้สัตว์เหล่านี้ มีความสุข ร่าเริงและไม่ป่วยง่าย มีการศึกษาว่าสัตว์ที่อยู่ใกล้ชิดคนมากเท่าใด ก็จะซึมซับความรู้สึกนึกคิดและมีความผูกพันกับคนมากเพียงนั้น คุณจึง ต้องตั้งใจว่าจะเลี้ยงจนแก่เฒ่า ไม่ทอดทิ้งจนมันตรอมใจและตายอย่างโดดเดี่ยว

รู้จักอุปนิสัยของสัตว์เลี้ยง

จะเห็นได้ว่า การมีสัตว์เลี้ยงมีภาระและความรับผิดชอบที่คุณต้องยอมรับให้ได้ อย่าลืมว่าสัตว์เลี้ยงให้ประโยชน์ทางจิตใจ ช่วยให้คุณคลายเหงาและยังสามารถช่วยเฝ้าบ้านให้คุณได้ การดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างดีที่สุด จึงเป็นการตอบแทนความซื่อสัตย์และจงรักภักดีของสัตว์เหล่านี้อย่างแท้จริง

การมองเห็นและประสาทสัมผัสอื่น ๆ ของ สุนัข แมว เหมือนคนเราไหม

การมองเห็นและประสาทสัมผัสอื่น ๆ ของ สุนัข แมว

การใช้ประสาทสัมผัสด้านการมองเห็น ดมกลิ่น การได้ยินของ สุนัข แมว จะเหมือน หรือต่างจากคนเราเพียงใด เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ได้วิจัยและค้นหาคำตอบมาอย่างต่อเนื่อง และนำมาซึ่งเรื่องน่าสนใจที่เราจะนำเสนอต่อไปนี้

สีที่สุนัข แมว มองเห็นต่างจากคนอย่างไร

ในดวงตาของสุนัข จะมีเซลล์ที่ทำหน้าที่รับแสง หรือ cone cell 2 ชนิด ซึ่งต่างจากคนที่มี 3 ชนิด จึงทำให้จำนวนสีที่สุนัขมองเห็นได้น้อยกว่า เช่น ไม่สามารถแยกความแตกต่างของสีน้ำตาล , เหลืองอ่อน-เข้ม , ฟ้าอ่อน-เข้ม ได้ ส่วนแมวก็มีความต่างออกไปอีก คือ จะเห็นสีเขียวและฟ้าชัดเจน แต่จะไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างสีแดงสดกับสีโทนชมพูได้

ระยะหรือความไกลที่สุนัข แมว รับรู้ภาพได้เป็นเช่นไร

เมื่อเทียบกับสายตาของคนปกติแล้ว สุนัขจะมีสายตาที่เห็นได้ระยะสั้นและคมชัดน้อยกว่าคนในช่วงเวลากลางวัน จึงทำให้ต้องใช้ประสาทสัมผัสทางจมูกช่วยแยกกลิ่น แต่ในช่วงเวลากลางคืน สุนัขจะมีเซลล์ชื่อ rod cell เพื่อช่วยในการมองเห็นดีกว่าคน ทั้งยังมีส่วนที่เรียกว่า Tapetum lucidum ที่ทำหน้าที่สะท้อนแสงเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นให้ชั้นเรตินา จึงทำให้เราเห็นดวงตาสุนัขมีความแวววาว และเห็นสิ่งที่คนเราไม่เห็นในที่มืดสลัว

ส่วนแมว จะมีข้อจำกัดที่การเห็นภาพจะอยู่ในระยะแค่ 6 เมตร และวัตถุที่อยู่ตรงกลางจมูกแมวจะเห็นภาพเบลอ ๆ ไม่ชัด ส่วนในยามกลางคืน แมวจะมีเซลล์รับแสงและกลไกช่วยสะท้อนแสงเช่นเดียวกับสุนัข จึงเป็นประโยชน์ในการล่าสัตว์เล็ก เช่น หนู แมลงสาบ ซึ่งเป็นไปตามสัญชาติญาณนักล่านั่นเอง

ทักษะอื่นๆ ที่ช่วยในการมองเห็นของสุนัข แมว

นอกจากสุนัข แมวจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และป้องกันตัวจากสิ่งแปลกปลอมด้วยการใช้ดวงตาที่มองเห็นได้ดีกว่าคนเราในยามค่ำคืนแล้ว ยังมีทักษะอื่น ๆ ที่จำเป็นในการอยู่รอด เช่น การใช้จมูกดมกลิ่น เราจะสังเกตได้ว่าสุนัขและแมวที่สุขภาพดีจมูกมักจะเปียก และตัวของมันก็มักเลียจมูกตัวเองบ่อย ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์รับกลิ่น ซึ่งมีการวิจัยพบว่าสุนัขมีความละเอียดในการแยกแยะกลิ่นมากกว่าคนเราถึง 1,000 เท่า ส่วนแมวมีความไวของประสาทรับกลิ่นราว 10 เท่าของคน

ส่วนเรื่องการได้ยิน มีการศึกษาเปรียบเทียบพบว่าแมวมีประสาทสัมผัสด้านเสียงดีกว่าสุนัขและคนเรานับ 10 เท่า และจะมีการควบคุมกล้ามเนื้อที่ใบหูเพื่อเป็นเหมือนจานดาวเทียมรับแรงสั่นสะเทือนและความถี่ต่าง ๆ ที่มากระทบ จึงเป็นทักษะที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเป็นนักล่าตามธรรมชาติและทำให้เป็นสัตว์เลี้ยงแสนรู้ประจำบ้านนั่นเอง

จะเห็นได้ว่า ธรรมชาติมีการออกแบบและวิวัฒนาการประสาทสัมผัสด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้กลิ่น การได้ยินทั้งของสุนัข แมว เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการมีชีวิตรอด และสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม จนกลายมาเป็นเพื่อนแสนรู้สี่ขาของคนเราตลอดจน ปัจจุบันนี้

8 สิ่งดี ๆ จากการมี สุนัข แมว เป็นเพื่อน

สุนัข แมว เป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่คู่ครอบครัว คลุกคลีกับคนเรามาตั้งแต่สมัยโบราณนับพันปีเลยก็ว่าได้ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ได้สังเกตเห็นว่าในรูปสลักจากปิระมิดในอียิปต์ มีรูปแมวอยู่บนนั้นในลักษณะใกล้ชิดกับคน ส่วนสุนัขเองก็อยู่คู่กับหลายราชวงศ์ เช่น อังกฤษและไทยมานานหลายร้อยปี ดังที่มีสุนัข ย่าเหล ของในหลวง ร.6 และ คุณทองแดง ของในหลวง ร.9 ที่แสดงถึงความใกล้ชิดผูกพันกับคน

วันนี้เรามี “8 สิ่งดี ๆ จากการมี สุนัข แมว เป็นเพื่อน” มาฝากกัน เผื่อใครหลายคนจะอยากมีเพื่อนเป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยเหล่านี้กันมากขึ้น

1. ทำให้คุณกระฉับกระเฉง

การเลี้ยงสุนัข แมว ทำให้คุณมีความแอคทีฟ active มากขึ้น เพราะเขาจะมาชวนคุณขยับตัวเสมอ ๆ โดยเฉพาะสุนัขที่เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์จะร่าเริงมีความสุขกับการได้กระโดดวิ่งเล่นไปกับคุณ

2. ทำให้คุณได้ออกกำลัง

อย่างที่คุณเห็นในหนังฝรั่งที่เจ้าของมักโยนจานร่อนแล้วให้สุนัขไปวิ่งเก็บ อย่าลืมว่า เพียงขยับก็เท่ากับออกกำลังกาย คุณจึงได้ออกกำลังกายมากขึ้นกับสัตว์เลี้ยงเหล่านี้

3. ช่วยให้หายเครียด

เวลาที่คุณมีปัญหาจากการทำงาน ไม่ว่าจะหงุดหงิดเครียดแค่ไหน แค่กลับมาเจอเจ้าสุนัข แมว ตัวโปรด คุณจะรู้สึกประหลาดใจว่าความเครียดที่มี อาการเซ็งต่าง ๆ หายไปเกือบหมด

4. รู้สึกมีคุณค่า

เพราะอาการทำตัวอ้อล้อ กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ทุกวันที่เห็นคุณกลับมาจากทำงาน ทำให้คุณรู้สึกได้ทันทีว่าคุณมีค่ากับพวกเขามากกว่าใคร ๆ

5. ยิ้มง่ายกับเสน่ห์น่ารัก ๆ

สุนัข แมว มีประสาทสัมผัสทางการได้ยินและรับกลิ่นที่ดีกว่าคนหลายพันเท่า ธรรมชาติข้อนี้จึงทำให้สัตว์เลี้ยงสองสายพันธุ์นี้มีเสน่ห์ สังเกตที่ใบหูจะขยับไปมาเป็นเรด้าร์ ฟังเสียงนั่นนี่ จมูกดมฟุดฟิดเกือบตลอดเวลา

6. ช่วยเตือนภัยความผิดปกติ

หากมีสิ่งผิดปกติ สุนัข แมว จะทำให้คุณรู้ก่อนคนอื่น เพราะเขาจะเห่าหรือร้องเรียกก่อนที่ตาคุณจะเห็น เช่น มีคนแปลกหน้า มีงู เป็นต้น

อยากมีเพื่อนเป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อย

7. ช่วยทำภาระกิจ

สุนัข มีอุปนิสัยที่ชอบอยู่คลุกคลีกับคน และว่ากันว่ามีความฉลาดเท่ากับเด็ก 7 ขวบ จึงนิยมนำมาฝึก เช่น สุนัขตำรวจช่วยดมกลิ่นหาสิ่งผิดกฎหมาย สุนัขนำทางคนพิการทางสายตา เป็นต้น

8. เป็น Nurse Aid ประจำตัว

สุนัขสามารถฝึกเป็น “บุรุษพยาบาล” เตือนเจ้าของว่า กำลังจะเป็นโรคลมชักกำเริบได้ หรือบอกได้ว่าเจ้านายกำลังเป็นโรคมะเร็งจากกลิ่นและสัมผัสที่ตาคนเราไม่อาจมองเห็นได้

สุนัข แมว ชอบคลุกคลีกับคนมากกว่าสัตว์อื่น ๆ หากคุณได้อยู่ใกล้ชิดกับเขา จะรู้ได้ถึงเสน่ห์และข้อดีอีกมายมายจากสัตว์เลี้ยงเหล่านี้

ความสุขสร้างได้ แค่เลี้ยงสุนัขกับแมว

หลายคนเลี้ยงสุนัขและแมวไว้ในบ้าน รู้สึกว่าเติบเต็มครอบครัวให้มีความสุขและอบอุ่นมากขึ้น เป็นเรื่องจริงทีเดียว ผลการวิจัยของผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลี้ยงในสหราชอาณาจักรบ่งชี้ว่าการรับสุนัขและแมวเข้ามาเลี้ยงดูแล เป็นปัจจัยบวกทำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จ จากการศึกษาพบว่าการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงช่วยเพิ่มระดับความสุขและความสำเร็จในชีวิตมากขึ้นอีกระดับ ผู้เชี่ยวชาญที่สำรวจเจ้าของสุนัขและแมว 1,000 คนที่มีอายุเกิน 55 ปีและผู้ใหญ่วัยเดียวกันที่ไม่เลี้ยงสัตว์จำนวน 1,000 คนเท่ากัน พบว่าผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัวคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิต กลุ่มคิดบวกมีจำนวนมากเป็นสองเท่าของผู้ที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ชนิดใดเลย ผู้วัยเกษียณที่มีสัตว์เลี้ยงต่างก็มีรายได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้เลี้ยงสุนัขและแมว

นอกจากนี้คนรักสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มที่จะแต่งงาน มีบุตร จบปริญญาจากมหาวิทยาลัยและได้งานที่ดีทำตามความฝัน เจ้าของสัตว์เลี้ยงยังทำกิจกรรมออกกำลังกายมากเกือบสองเท่าของคนที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ สุขภาพดีกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเล่นกับสัตว์เลี้ยงเพิ่มอัตราการเต้นหัวใจ เลือดสูบฉีดแรง พาสุนัขไปเดิน เล่นกับแมว กระตุ้นการออกกำลังกายและทำให้มีความสุขมากขึ้น เป็นผลดีทั้งกับสัตว์เลี้ยงและผู้เป็นเจ้าของ ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าของสุนัขและแมว 9 ใน 10 เชื่อว่าสัตว์เลี้ยงของพวกเขาเป็นเพื่อนที่ส่งเสริมกิจกรรมผ่อนคลายความเครียด ดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ จึงเจียดเวลาเล่นสนุกกับสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ

งานวิจัยเรื่องการเลี้ยงสุนัข แมวส่งผลดีต่อเจ้าของสัตว์เลี้ยงสนับสนุนให้ที่มีอายุมากกว่า 55 ปี เริ่มต้นเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อนเพราะเห็นประโยชน์ในเชิงบวกได้มาก แม้แต่บ้านพักคนชราชั้นนำในสหราชอาณาจักรยังพิจารณานำสัตว์เลี้ยงเข้ามาช่วยบำบัดความเหงาให้ผู้สูงวัย ยอมรับให้เลี้ยงสัตว์ที่ได้รับการฝึกฝนให้มีมารยาทดีเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน เพื่อให้เจ้าของได้เพลิดเพลินกับสุนัข แมวและใช้ชีวิตในช่วงปีที่เกษียณอายุอย่างมีคุณภาพ บางกรณีมีการนำสุนัขและแมวที่เป็นโครงการอาสาสมัครเข้ามาให้ความบันเทิงกับผู้สูงวัยที่บ้านพักคนชราด้วย

นักวิจัยอธิบายว่าสัตว์เลี้ยงทำให้เจ้าของมีความสุข สนุกและหัวเราะมากขึ้น ผ่อนคลายความเหงาและบรรเทาความเครียดได้ เจ้าของสุนัขและแมวเกือบครึ่งยอมรับว่าสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนคุยแก้เหงา ได้พูดคุยปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึก คนชราถึง 16% ในผลการสำรวจนี้ยอมรับว่าถ้าไม่มีสัตว์เลี้ยงไว้คุยด้วยแล้ว พวกเขาก็ไม่รู้จะคุยกับใคร คนชรากว่าครึ่งของการสำรวจนี้ไม่เคยรู้สึกเหงาเพราะมีเพื่อนรักสี่ขาคอยเป็นเพื่อนอยู่แล้ว สุนัขและแมวช่วยกระตุ้นให้ผู้สูงวัยลุกขึ้นออกกำลังกาย หลายคนบอกว่าสัตว์เลี้ยงทำให้พวกเขามีจุดมุ่งหมายในชีวิต มีช่วงเวลาดี ๆ ด้วยกัน ไม่ได้ตื่นมาแล้วรู้สึกว่างเปล่าอีกต่อไป