รวม 3 เคล็ดลับฝึกสุนัขกับแมวอย่างไรให้อยู่ด้วยกันได้

ทริคฝึกสุนัขกับแมวให้อยู่ด้วยกัน

อย่างที่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่าน้องหมาและน้องแมวนั้นเปรียบเหมือนไม้เบื่อไม้เมากันมาแต่ไหนแต่ไร เพราะเจอหน้ากันที่ไรเป็นต้องแยกเขี้ยวใส่กันทุกครั้งไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายคนเลือกที่จะเป็นเจ้านายหมาหรือ ทาสแมว อย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อตัดปัญหา แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนรักสัตว์ไม่น้อยที่ตัดสินใจเลี้ยงน้องหมาน้องแมวไว้ด้วยกัน ซึ่งถ้าเริ่มเลี้ยงตั้งแต่พวกเค้าเป็นเด็กก็อาจจะอยู่ด้วยกันได้โดยไม่มีปัญหา แต่สำหรับคนที่เพิ่มรับน้องหมาน้องแมวมาเลี้ยงตอนที่โตแล้ว บอกเลยว่าทาสต้องเหนื่อยใจทำหน้าที่เป็นกรรมการคอยห้ามทัพไม่ให้สัตว์เลี้ยงของตัวเองทะเลาะกันจนถึงขั้นเลือดตกยางออก ดังนั้นเพื่อช่วยให้ผู้เลี้ยงสุนัข แมว จัดการปัญหานี้ได้ง่ายขึ้น วันนี้เรามี 3 เคล็ดลับฝึกสุนัขกับแมวให้อยู่ด้วยกันได้มาฝาก แต่จะมีเคล็ดลับไหนบ้างนั้น มาดูกันเลย

ทริคฝึกสุนัขกับแมวให้อยู่ด้วยกัน

พยายามขังแยกไว้ก่อน : เมื่อตัดสินใจจะนำสมาชิกใหม่เข้ามาในบ้าน ในช่วงแรกทั้งสองอาจมีความตื่นเต้นเห่าขู่กันตามสัญชาตญาณ ก่อนอื่นเลยแนะนำว่าให้จับขังกรงแยกไว้ก่อน โดยจะจับใส่กรงทั้งสองตัวหรือจับตัวใหม่ใส่กรงไว้ก่อนก็ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ทั้งตัวเก่าตัวใหม่ตกใจจนวิ่งหนีหายเตลิดแล้ว ยังเป็นการช่วยให้สัตว์เลี้ยงได้ปรับตัวได้เร็วขึ้น

เริ่มต้นด้วยการให้ทั้งสองเผชิญหน้ากันผ่านลูกกรง : หลังจากสัตว์เลี้ยงเริ่มมีสัญญาณสงบลงไม่ขู่ไม่เห่าเหมือนในช่วงแรก ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าสัตว์เลี้ยงพร้อมสำหรับการเริ่มต้นทำความรู้จักกับเพื่อนต่างสปีชีส์แล้ว ให้เจ้าของเริ่มลองให้สัตว์เลี้ยงได้เผชิญหน้าและสัมผัสกันผ่านลูกกรง โดยมีเจ้าของคอยปลอบเจ้าสัตว์เลี้ยงอยู่ข้าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ทั้งสองตัวเกิดความเครียด เมื่อดูแล้วว่าทั้งสองเริ่มเข้าได้จึงค่อยปล่อยออกมาทำความรู้จักกันแบบจริง ๆ จัง ๆ

เสริมความคุ้นเคยด้วยผ้าของอีกฝ่าย : การให้น้องหมาน้องแมวดมกลิ่นของอีกฝ่ายจะเป็นการช่วยเพิ่มคุ้นชินให้กับสัตว์เลี้ยงทั้งสองตัว ซึ่งวิธีการนั้นก็ง่าย ๆ แค่เจ้าของลูบตัวน้องหมาให้มีกลิ่นติดมือไปสัมผัสตัวน้องแมว จากนั้นก็ค่อยเปลี่ยนไปลูบน้องแมวไปจับตัวน้องหมา หรืออาจจะสลับผ้าห่ม ข้าวของเครื่องใช้กันไปมา เพียงเท่านี้ก็ทำให้สัตว์เลี้ยงรู้สึกเป็นพวกเดียวกันได้ง่ายขึ้น

รวม 3 เคล็ดลับฝึกสุนัขกับแมวอย่างไรให้อยู่ด้วยกันได้

เป็นอย่างไรบ้างสำหรับเคล็ดลับฝึกสุนัขกับแมวให้อยู่ด้วยกันที่เรานำมาฝาก แต่อย่างไรก็ตามก่อนตัดสินใจรับสมาชิกใหม่เข้ามาเลี้ยงเพิ่ม ควรพิจารณานิสัยและพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงตัวเดิมก่อนว่าเป็นอย่างไร เพราะน้องหมาส่วนใหญ่มักจะมีสัญชาตญาณนักล่า ถ้ามีนิสัยดุร้ายหรือชอบกัดสัตว์ที่ตัวเล็กกว่าก็อาจต้องชะลอแผนการที่จะเลี้ยงสัตว์ทั้งสองชนิดไว้รวมกัน เพื่อความปลอดภัยของน้องแมวและเจ้าของเอง ส่วนน้องแมวถ้ามีนิสัยหยิ่ง ติดเจ้าของ และขี้น้อยใจ แนะนำว่าไม่ควรนำสัตว์เลี้ยงอื่นเข้ามาในบ้าน เนื่องจากจะทำให้น้องแมวเครียดน้อยใจจนไม่ยอมกินข้าวหรือหนีหายออกจากบ้านไปได้

แนะนำ 5 เคล็ดลับเตรียมความพร้อมก่อนพาสุนัขและแมวเที่ยวนอกบ้านอย่างปลอดภัย

เตรียมความพร้อมก่อนพาสุนัขและแมวเที่ยวนอกบ้าน

ถ้าสามารถพาน้องหมาน้องแมวของตัวเองไปเที่ยวกับตัวเองได้ แน่นอนว่าเหล่า Pet Lover ทุกคนคงพาไปด้วยทุกครั้งโดยไม่ลังเล เพราะการทิ้งให้เพื่อนรักสี่ขานอนเหงาอยู่ที่บ้านเพียงลำพังในระหว่างที่ตัวเองและคนครอบครัวเดินทางไปท่องเที่ยวนั้น นอกจากจะทำให้เจ้าของเป็นกังวลจนรู้สึกไม่สนุกแล้ว น้องหมาน้องแมวที่อยู่บ้านเพียงลำพังยังอาจเกิดความเครียด ซึ่งจะส่งผลเสียทั้งต่อร่างกายและจิตใจในระยะยาวอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่าการพาน้องหมาน้องแมวออกนอกบ้าน อาจทำให้เกิดอันตรายได้ตลอดเวลา ทั้งเชื้อโรค ถูกขโมย หลุดหาย และการเกิดอุบัติเหตุ

ดังนั้นวันนี้เราจึงมี 5 เคล็ดลับเตรียมความพร้อมก่อนพาสุนัขและแมวไปเที่ยวนอกบ้านมาฝาก รับรองว่าช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับน้องหมาน้องแมวแน่นอน

สุนัขและแมวไปเที่ยวนอกบ้านอย่างปลอดภัย ตามขั้นตอนนี้

ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสุนัขและแมวของคุณผ่านการฉีดวัคซีนป้องกันโรคครบถ้วนตรงตามคำแนะนำของสัตวแพทย์เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคไข้หวัด หัด เห็บหมัด ลำไส้อักเสบ พิษสุนัขบ้า เป็นต้น ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากภายนอกบ้านอาจมีเชื้อโรคที่อาจทำให้น้องหมาน้องแมวป่วยและเป็นพาหะนำโรคมาสู่มนุษย์ได้

ควรเตรียมกรงหรือกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยงให้พร้อมก่อนวันออกเดินทาง เพื่อความปลอดภัยของน้องหมาน้องแมวและตัวเจ้าของเอง เพราะสัตว์เลี้ยงมีอาการตื่นเต้นกับการเดินทางมากจนวิ่งวนไปวนมาในรถ แนะนำให้เจ้าของรีบนำน้องเก็บไว้ในกรงหรือกระเป๋าก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงรบกวนสมาธิของคนขับจนเกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนั้นการพกกระเป๋าและกรงไปด้วยยังช่วยเพิ่มความสะดวกเวลาเดินเที่ยวอีกด้วย

จัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของน้องหมาน้องแมวให้พร้อมก่อนวันออกเดินทาง เช่น ยารักษาโรค เบาะนอน ถาดน้ำ ถาดอาหาร ขวดน้ำ กระบะทราย หรือของเล่น เพราะสัตว์เลี้ยงบ้างตัวก็ติดการของใช้ไม่ต่างจากมนุษย์ ถ้าไม่มีกลิ่นเฉพาะของตัวเองก็อาจไม่ยอมใช้งาน ส่งผลให้เจ้าของร้อนใจกลัวเจ้าสี่ขาป่วยต้องรีบกลับบ้านเร็วกว่ากำหนด

เจ้าของควรใส่ปลอกคอที่มีรายละเอียดของชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ของเจ้าของให้กับสัตว์เลี้ยง เพราะหากน้องหมาน้องแมวพลัดหลงกับเจ้าของในขณะที่ไปเที่ยว ผู้ที่ช่วยเหลือยังสามารถติดต่อเพื่อส่งคืนกลับเจ้าของได้ในทันที

เจ้าของควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับที่พัก ร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวให้ละเอียด เพราะไม่ใช่ว่าทุกสถานที่จะอนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าได้ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการทิ้งน้องหมาน้องแมวไว้ตามลำพังในระหว่างการท่องเที่ยว แนะนำให้เลือกที่พักในโรงแรมหรือเที่ยวในสถานที่ที่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าได้เท่านั้น

เป็นอย่างไรบ้างสำหรับ 5 เคล็ดลับในการเตรียมความพร้อมก่อนพาสุนัขและแมวไปเที่ยวนอกบ้านที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ แต่อย่างไรก็ตามก่อนตัดสินใจพาเพื่อนรักสี่ขาไปเที่ยวด้วย ควรสังเกตอาการเวลาพาออกนอกบ้าน หากมีอาการตื่นคนหรือตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา เจ้าของควรฝึกสัตว์เลี้ยงให้มีความคุ้นเคยกับคนหรือการนั่งรถก่อน เพื่อเพิ่มความราบรื่นในการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น

สุนัขและแมวไปเที่ยวนอกบ้านอย่างปลอดภัย

การฉีดวัคซีนสุนัขและแมวสำคัญอย่างไร

ทำไมต้องศึกษาเรื่องการฉีดวัคซีน

การฉีดวัคซีนให้สุนัขและแมวถือว่าเป็นตัวช่วยให้สัตว์เลี้ยงปลอดจากโรคร้าย ที่มักจะมีความเสี่ยงตามช่วงอายุและความแข็งแรงของสัตว์ แม้ว่าตามธรรมชาตินั้น สุนัขและแมวจะได้รับภูมิคุ้มกันบางส่วนจากแม่สัตว์ ผ่านทางสายรกและน้ำนมเมื่อแรกคลอด แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะป้องกันเชื้อโรคชนิดร้ายแรงบางชนิด เช่น โรคหัด ซึ่งหากมีการติดเชื้ออาจทำให้เสียชีวิตในไม่กี่วันได้ หลังการฉีดวัคซีนแล้ว สัตว์เลี้ยงจะลดความเสี่ยงติดเชื้อจากสัตว์ชนิดอื่น เช่น สุนัขแมวจรจัดที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงได้ดีขึ้น

ทำไมต้องศึกษาเรื่องการฉีดวัคซีน

ผู้ที่เลี้ยงสุนัขและแมว จึงควรศึกษาตารางการฉีดวัคซีนแก่สัตว์เลี้ยง และให้เริ่มเข็มแรกตั้งแต่ช่วงอายุ 1 เดือนครึ่ง ซึ่งในช่วงแรกต้องมีการฉีดวัคซีนบ่อย เช่น ต้องฉีดกระตุ้นภูมิต้านทานซ้ำ ๆ 1 ถึง 2 ครั้งในช่วงระยะห่างกันครึ่งถึง 1 เดือน จึงต้องสำรองค่าใช้จ่ายให้เพียงพอด้วย

ตัวอย่างวัคซีนที่จำเป็นต้องฉีดให้สุนัข ได้แก่ เมื่ออายุ 1 เดือนครึ่ง ต้องมีการถ่ายพยาธิและตรวจสุขภาพทั่วไป เมื่ออายุ 2 เดือน ต้องได้รับการฉีดวัคซีนรวม 5 โรค ได้แก่ โรคหลอดลมตีบ โรคฉี่หนู โรคตับและลำไส้อักเสบ และโรคไข้หัด หลังจากนั้นอีก 1 เดือน ต้องทำการฉีดวัคซีนรวม 5 โรคนี้ เป็นครั้งที่ 2 และเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าเป็นเข็มแรกด้วย เมื่ออายุ 4 เดือน ต้องฉีดวัคซีนรวม 5 โรคเป็นเข็มที่ 3 พร้อมกับวัคซีนพิษสุนัขบ้า เป็นครั้งที่ 2 โดยทั้งสองกลุ่มวัคซีนนี้ จะต้องมีการฉีดซ้ำเป็นประจำทุกปีอีกด้วย

สำหรับวัคซีนของแมว ควรเริ่มให้ลูกแมวถ่ายพยาธิเมื่ออายุ 1 เดือนครึ่ง หลังจากนั้นต้องฉีดวัคซีนโรคหัดแมวและไข้หวัดแมวครั้งที่ 1 เมื่ออายุได้ 2 เดือนครึ่ง ต้องฉีดวัคซีนโรคลิวคีเมียหรือ FeLV เป็นเข็มแรก เมื่ออายุได้ 3 เดือน จะต้องฉีดวัคซีนรวมไข้หัดและหวัดแมวเป็นครั้งที่ 2 พร้อมกับฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าเป็นครั้งแรก ต่อมาเมื่อแมวอายุ 3 เดือนครึ่งต้องฉีดวัคซีนลิวคีเมียครั้งที่ 2 และฉีดซ้ำเป็นประจำทุก ๆ ปี เมื่ออายุได้ 4 เดือน ต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดและโรคหวัดแมวเป็นครั้งที่ 3 พร้อมกับวัคซีนพิษสุนัขบ้าเข็มที่ 2 ซึ่งวัคซีนทั้งสองชนิดนี้ ต้องฉีดซ้ำเป็นประจำทุกปีด้วย

จะเห็นได้ว่า การฉีดวัคซีนให้สุนัขและแมวเป็นสิ่งที่จะช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ เจ้าของจึงควรนำสัตว์เลี้ยงไปตรวจกับสัตวแพทย์ตั้งแต่อายุน้อย เพื่อทำสมุดประจำตัว และจะได้กำหนดวันเวลาในการฉีดวัคซีนได้โดยไม่หลงลืม เพื่อให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพดีอยู่กับครอบครัวของคุณไปได้นาน ๆ

การฉีดวัคซีนสุนัขและแมวสำคัญอย่างไร

การดูแลสุนัขและแมวหลังคลอด เลี้ยงดูอย่างไร

การดูแลสุนัขและแมวหลังคลอด เลี้ยงดูอย่างไร

สุนัขและแมว เป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่ใกล้กับคนครอบครัวส่วนใหญ่ เป็นเพื่อนเล่นแก้เหงาและคลายเครียดได้ดี แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าเมื่อสัตว์เลี้ยงทั้งสองชนิดนี้ออกลูก แล้วจะต้องดูแลตัวแม่และลูกที่กำลังอ่อนแออย่างไรบ้าง เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากกัน ดังนี้

การเลี้ยงดูสุนัขและแมวหลังคลอด

ส่วนใหญ่ลูกสุนัขและแมวจะเสียชีวิตหลังคลอดได้ง่าย จากการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีอุณหภูมิหนาวเย็นกว่าในตัวแม่ เนื่องจากยังมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม ก็จะติดเชื้อและเสียชีวิตได้ง่าย ดังนั้นหลังจากการคลอดแล้ว จึงต้องดูแลให้ลูกสุนัขและแมวอยู่กับตัวแม่ตลอดเวลา เพื่อกินน้ำนมเหลืองจากเต้าอย่างน้อย 3 วัน เพื่อให้ได้รับภูมิคุ้มกันอย่างเต็มที่ผ่านทางน้ำนม สำหรับแม่สุนัขและแมวที่คลอดด้วยวิธีการผ่าตัด มักจะมีน้ำนมน้อยกว่าปกติ อาจต้องซื้อน้ำนมเหลืองที่เรียกว่า นมคอลอสตุ้ม สำหรับชงให้ลูกสัตว์ทานเพิ่มด้วย

นอกจากนี้ ควรระวังไม่ให้แม่สัตว์นอนทับลูกตัวเอง เจ้าของควรช่วยจัดที่นอนให้กว้างเพียงพอ เสริมผ้าขนหนูเพื่อให้มีความอบอุ่นทั่วถึง นอกจากนี้ โดยธรรมชาติลูกสุนัขและแมวจะได้รับการดูแลจากแม่ โดยเฉพาะเมื่อมีการดูดนมแล้ว ตัวแม่จะเลียที่อวัยวะเพศและก้นลูก เพื่อกระตุ้นให้ขับถ่ายออก แต่หากเจ้าของสังเกตดูไม่เห็นพฤติกรรมดังกล่าว หรือเป็นสัตว์กำพร้า ก็ต้องใช้สำลีชุบน้ำอุ่น ถูที่บริเวณก้นและอวัยวะเพศลูกสัตว์เพื่อกระตุ้นให้ขับถ่าย และทำทุกครั้งเป็นประจำหลังให้นม

ลูกสัตว์หลังคลอดจะดูดนมบ่อยทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งเจ้าของควรชั่งน้ำหนักแล้วบันทึกไว้ โดยเฉลี่ยแล้วน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นวันละ 5-10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมื่อโตอายุได้ประมาณ 4 สัปดาห์ ลูกสุนัขและแมวจะสามารถกินอาหารเปียกบนจานได้ คู่กับการดูดนม ซึ่งเจ้าของต้องดูแลเลือกสูตรอาหารให้เหมาะสมกับช่วงอายุด้วย

สำหรับการดูแลแม่สุนัขและแมวหลังการคลอด ให้สังเกตอาการผิดปกติว่ามีสารเหลวออกมาจากช่องคลอดหรือไม่ ถ้ามีสีแดงหยดออกมาเล็กน้อยเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ที่เต้านมไม่ควรมีอาการเจ็บ จนไม่ยอมให้ลูกดูดนม หรือมีน้ำนมแต่เป็นสีเขียวเหนียวหนืด ซึ่งจะทำให้ลูกสัตว์ท้องเสีย ติดเชื้อตายได้ และที่ต้องสังเกตอีกประการหนึ่ง คือ หากแม่สุนัขและแมวมีอาการซึม มีไข้ตัวสั่น หรือไม่สนใจลูกเท่าที่ควร ก็หมายถึงอาจมีความผิดปกติหรือเจ็บป่วยภายใน ที่ต้องรีบตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด โดยปรึกษากับสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด

การดูแลสุนัขและแมวในช่วงหลังคลอด เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องศึกษาข้อมูลเตรียมไว้ก่อน เจ้าของอาจต้องลางานเพื่อช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด อย่างน้อยประมาณ 3 ถึง 5 วัน ด้วย หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านใส่ใจคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยงให้ดียิ่งขึ้น เพื่อลดความเครียดและลดความเสี่ยงการเสียชีวิตทั้งแม่และลูกสุนัข แมว

การเลี้ยงดูสุนัขและแมวหลังคลอด

การให้อาหารแมวกับสุนัขแตกต่างกันไหม

การให้อาหารแมวกับสุนัขแตกต่างกันไหม

คนที่รักสัตว์และอยากเลี้ยงสุนัขและแมวรวมกันในบ้าน นอกจากต้องจัดระเบียบพื้นที่อยู่อาศัย เพื่อป้องกันโรคติดต่อถึงกันได้แล้ว ยังต้องใส่ใจอาหารที่ให้แก่สุนัขและแมวด้วย ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่สงสัยว่าสุนัขและแมวสามารถกินอาหารประเภทเดียวกันได้หรือไม่ เราจึงได้รวมข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากกันดังนี้

อาหารที่เหมาะสมสำหรับสุนัขและแมว

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า อาหารที่เหมาะสมสำหรับสุนัขและแมวมีความแตกต่างกัน เพราะระบบของร่างกายสัตว์ทั้งสองประเภทนี้ถูกสร้างมาให้มีความแตกต่าง สุนัขจัดอยู่ในประเภทที่กินและย่อยได้ทั้งเนื้อสัตว์และพืชผัก อย่างที่เราเห็นว่าบางครั้งสุนัขก็กินหญ้า แต่แมวจะเป็นสัตว์ที่กินเฉพาะเนื้อเท่านั้น ทำให้ระบบการดูดซึมวิตามิน เผาผลาญและย่อยอาหารแตกต่างกันไป

หากนำอาหารสุนัขซึ่งโดยทั่วไปจะมีราคาถูกกว่ามาให้แมวรับประทาน จะเกิดปัญหาต่อสุขภาพที่สำคัญ ได้แก่

แมวจะขาดวิตามินเอจากอาหาร เนื่องจากสุนัขมีการสังเคราะห์วิตามินเอได้เองจึงไม่ค่อยมีการผสมในอาหารเม็ด แมวที่กินอาหารสุนัขเป็นประจำจะทำให้มีปัญหาเส้นขนที่หยาบกร้าน ดวงตาไม่สามารถมองเห็นได้ดีนักในความมืด

นอกจากนี้ ในอาหารสุนัขยังขาดกรดอะมิโนทอรีน เนื่องจากสุนัขจะสามารถสังเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง หากให้แมวกินบ่อยๆ จะเกิดภาวะขาดกรดอะมิโนชนิดนี้ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ ทำให้แมวเสี่ยงต่อการเป็นหัวใจวายและตายได้ ขณะเดียวกัน ก็ส่งผลให้แมวเกิดภาวะ feline central retinal degeneration (CRD) ซึ่งเป็นโรคของจอประสาทตา ทำให้ตาบอดได้ด้วย

การให้แมวซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อ กินแต่อาหารสุนัข จะทำให้ได้เปอร์เซ็นต์สัดส่วนของโปรตีนที่น้อยกว่าปกติ จึงทำให้กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง ภูมิต้านทานต่ำ ป่วยติดเชื้อเป็นโรคพยาธิต่าง ๆ ทำให้มีอายุสั้นด้วย

ดังนั้นหาก เลี้ยงสุนัข และแมวร่วมกัน ก็จำเป็นจะต้องแยกประเภทอาหาร ซื้ออาหารสุนัขและอาหารแมวที่เหมาะกับช่วงวัยของสัตว์เลี้ยง ถึงจะทำให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์ และเสริมสร้างพัฒนาการตามวัย

สำหรับสุนัขนั้น สามารถที่จะเสริมอาหารเม็ดด้วยผักผลไม้ได้ เนื่องจากระบบการย่อยอาหารของสุนัขจะมีเอนไซม์ทำหน้าที่ย่อยสารอาหารและดูดซึมนำไปใช้ได้

อย่างไรก็ตาม มีอาหารแต่ที่ต้องหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด เช่น กาแฟ โกโก้ช็อกโกแลต ซึ่งมักเป็นส่วนผสมในขนมเค้ก คุกกี้ ขนมปัง ซึ่งจะมีคาเฟอีนอยู่เป็นส่วนประกอบ ทำให้เกิดการกระตุ้นระบบประสาทและเป็นผลเสียต่อระบบไตของสุนัข ทำให้อายุสั้นได้

จะเห็นได้ว่า อาหารสุนัขและแมวมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน การให้อาหารที่ไม่เหมาะสม อาจจะทำให้สัตว์ป่วยถึงขั้นเสียชีวิตได้ ผู้ที่สนใจเลี้ยงสุนัขและแมวจึงต้องศึกษาให้ดีเรื่องของการดูแลสุขภาพ การฉีดวัคซีน รวมถึงการเลือกอาหารที่เหมาะสมกับแต่ละสายพันธุ์ด้วย

อาหารที่เหมาะสมสำหรับสุนัขและแมว

เลี้ยงสุนัขและแมวอย่างไรให้เป็นเพื่อนกัน

เมื่อคุณเลี้ยงสุนัขและแมวที่ไม่กินเส้นกัน ดูเหมือนจะอยู่ร่วมบ้านกันไม่ได้เลย บางครั้งทะเลาะกันบาดเจ็บ ต้องแยกเลี้ยงต่างคนต่างอยู่ให้หมดเรื่องไป หลายคนรู้สึกสงสัยว่าบ้านอื่นที่แมวหมาเข้ากันได้ดีมีเคล็ดลับอะไร นั่นเป็นเพราะเจ้าของมีเทคนิคฝึกสอน และทุ่มเทความรักความอดทนมากมายเพื่อให้สองคู่กัดกลายเป็นเพื่อนซี้กันในที่สุด เป็นธรรมดาที่สุนัขและแมวจะไม่ชอบกัน ไม่รู้เหตุผลแน่ชัด แต่ผู้เชี่ยวชาญการฝึกสอนสัตว์เลี้ยงแนะนำว่ามีหลายวิธีช่วยฝึกให้สุนัขและแมวเข้ากันได้ดี แม้ว่าจะไม่ได้โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก

1. ฝึกทีละตัว

ไม่ว่าจะเป็นแมวหรือสุนัข ควรฝึกฝนทีละตัวจะทำให้สื่อสารกันได้ดีกว่า เรียนรู้ได้มีประสิทธิภาพมากกว่า หากมีสัตว์เลี้ยงคู่ปรับประจันหน้าอยู่ใกล้ ๆ จะทำให้ไม่สบอารมณ์และไม่ทำตามคำสั่งเอาเสียเลย การฝึกฝนต้องใช้ความอดทนและผ่อนคลายซึ่งจะทำให้สัตว์เลี้ยงรู้สึกผ่อนคลายไปด้วย

2.ให้พื้นที่ส่วนตัว

แม้ว่าต้องการแก้ปัญหาสุนัขและแมวทะเลาะกัน แต่ก็ต้องเข้าใจว่าการบังคับให้อยู่ด้วยกันอาจไม่ใช่ทางเลือกที่แก้ปัญหาได้เสมอไป ถ้ามีบางอารมณ์ที่สองฝ่ายเกิดไม่สบอารมณ์กันหรือเปิดศึกขึ้นมา ต้องแยกออกจากกัน กักตัวไว้คนละห้อง อาจต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าสองตัวจะลดความเครียด เนื่องจากแมวเป็นนักปีนควรใช้ประโยชน์จากพื้นที่แนวตั้ง เช่น ชั้นวางของ ตู้หนังสือ เพื่อให้แมวปีนขึ้นไปนอนเฝ้าสังเกตคู่ปรับในระยะที่ปลอดภัยโดยไม่ต้องสัมผัสพื้น

3.ฝึกให้คุ้นกลิ่นกันและกัน

สุนัขและแมวมีประสาทสัมผัสที่ดีควรใช้ให้เกิดประโยชน์ ลองสลับเบาะรองนอน ผ้าเช็ดตัว และของเล่นของสุนัขและแมวเพื่อให้คุ้นกลิ่นของกันและกัน เล่นกับหมาให้กลิ่นติดมือแล้วไปลูบสัมผัสแมว และใช้วิธีเดียวกันกับแมวเพื่อให้คุ้นเคยกันทางอ้อม

4.ให้รางวัลและทำโทษ

หากสุนัขและแมวอยู่ใกล้กันโดยไม่เปิดศึก ให้ขนมเป็นรางวัลกับทั้งคู่ ทำให้สัตว์เลี้ยงพอใจและรู้ว่าอยู่ด้วยกันแล้วก็ไม่เลวร้ายนัก เริ่มรู้สึกเป็นมิตรกันง่ายขึ้น แต่ถ้ามีฝ่ายใดเริ่มแสดงอารมณ์ก้าวร้าวกับอีกฝ่าย ต้องลงโทษและไม่สนใจไปสักพัก ให้รู้ว่าทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม

5.เล่นเกมด้วยกัน

ลองเล่นเกมกับสุนัขและแมวพร้อมกัน มีช่วงเวลาที่ดีเมื่ออยู่ด้วยกัน ทำให้ต่างฝ่ายยอมรับกันมากขึ้น เล่นกันพอหอมปากหอมคอ อย่าให้ฝ่ายสุนัขตื่นเต้นเกินไป เกรงว่าแมวอาจบาดเจ็บได้เพราะสุนัขตัวใหญ่และแรงมาก ส่วนแมวก็อาจสู้กลับเมื่อรู้สึกว่าถูกคุกคาม พยายามฝึกสุนัขให้ใจเย็นและสั่งให้นอนหมอบนิ่ง ๆ ได้เพื่อป้องกันในกรณีที่แมวเริ่มมีอาการกังวล

วิธีช่วยฝึกให้สุนัขและแมวเข้ากันได้ดี

หากไม่ได้เลี้ยงสุนัขและแมวด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก เวลาแนะนำให้รู้จักกันครั้งแรกแบบตัวต่อตัว ควรเว้นระยะห่างที่ปลอดภัย เมื่อสองฝ่ายเข้าใกล้กันมากขึ้น สุนัขส่งเสียงเห่าหรือแมวขู่ฟ่อ ต้องรีบแยกออกจากกัน สุนัขมีสัญชาตญาณของนักล่าที่อดใจวิ่งไล่ขย้ำสัตว์ตัวเล็กกว่าไม่ได้ ส่วนแมวก็มีสัญชาตญาณป้องกันตัวสูง จึงต้องอยู่ในสายตาของเจ้าของตลอดเวลา จนกว่าจะคุ้นเคยกันมากแล้วถึงปล่อยให้อยู่ในห้องด้วยกันเพียงลำพังได้อย่างมั่นใจ

การมองเห็นและประสาทสัมผัสอื่น ๆ ของ สุนัข แมว เหมือนคนเราไหม

การมองเห็นและประสาทสัมผัสอื่น ๆ ของ สุนัข แมว

การใช้ประสาทสัมผัสด้านการมองเห็น ดมกลิ่น การได้ยินของ สุนัข แมว จะเหมือน หรือต่างจากคนเราเพียงใด เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ได้วิจัยและค้นหาคำตอบมาอย่างต่อเนื่อง และนำมาซึ่งเรื่องน่าสนใจที่เราจะนำเสนอต่อไปนี้

สีที่สุนัข แมว มองเห็นต่างจากคนอย่างไร

ในดวงตาของสุนัข จะมีเซลล์ที่ทำหน้าที่รับแสง หรือ cone cell 2 ชนิด ซึ่งต่างจากคนที่มี 3 ชนิด จึงทำให้จำนวนสีที่สุนัขมองเห็นได้น้อยกว่า เช่น ไม่สามารถแยกความแตกต่างของสีน้ำตาล , เหลืองอ่อน-เข้ม , ฟ้าอ่อน-เข้ม ได้ ส่วนแมวก็มีความต่างออกไปอีก คือ จะเห็นสีเขียวและฟ้าชัดเจน แต่จะไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างสีแดงสดกับสีโทนชมพูได้

ระยะหรือความไกลที่สุนัข แมว รับรู้ภาพได้เป็นเช่นไร

เมื่อเทียบกับสายตาของคนปกติแล้ว สุนัขจะมีสายตาที่เห็นได้ระยะสั้นและคมชัดน้อยกว่าคนในช่วงเวลากลางวัน จึงทำให้ต้องใช้ประสาทสัมผัสทางจมูกช่วยแยกกลิ่น แต่ในช่วงเวลากลางคืน สุนัขจะมีเซลล์ชื่อ rod cell เพื่อช่วยในการมองเห็นดีกว่าคน ทั้งยังมีส่วนที่เรียกว่า Tapetum lucidum ที่ทำหน้าที่สะท้อนแสงเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นให้ชั้นเรตินา จึงทำให้เราเห็นดวงตาสุนัขมีความแวววาว และเห็นสิ่งที่คนเราไม่เห็นในที่มืดสลัว

ส่วนแมว จะมีข้อจำกัดที่การเห็นภาพจะอยู่ในระยะแค่ 6 เมตร และวัตถุที่อยู่ตรงกลางจมูกแมวจะเห็นภาพเบลอ ๆ ไม่ชัด ส่วนในยามกลางคืน แมวจะมีเซลล์รับแสงและกลไกช่วยสะท้อนแสงเช่นเดียวกับสุนัข จึงเป็นประโยชน์ในการล่าสัตว์เล็ก เช่น หนู แมลงสาบ ซึ่งเป็นไปตามสัญชาติญาณนักล่านั่นเอง

ทักษะอื่นๆ ที่ช่วยในการมองเห็นของสุนัข แมว

นอกจากสุนัข แมวจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และป้องกันตัวจากสิ่งแปลกปลอมด้วยการใช้ดวงตาที่มองเห็นได้ดีกว่าคนเราในยามค่ำคืนแล้ว ยังมีทักษะอื่น ๆ ที่จำเป็นในการอยู่รอด เช่น การใช้จมูกดมกลิ่น เราจะสังเกตได้ว่าสุนัขและแมวที่สุขภาพดีจมูกมักจะเปียก และตัวของมันก็มักเลียจมูกตัวเองบ่อย ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์รับกลิ่น ซึ่งมีการวิจัยพบว่าสุนัขมีความละเอียดในการแยกแยะกลิ่นมากกว่าคนเราถึง 1,000 เท่า ส่วนแมวมีความไวของประสาทรับกลิ่นราว 10 เท่าของคน

ส่วนเรื่องการได้ยิน มีการศึกษาเปรียบเทียบพบว่าแมวมีประสาทสัมผัสด้านเสียงดีกว่าสุนัขและคนเรานับ 10 เท่า และจะมีการควบคุมกล้ามเนื้อที่ใบหูเพื่อเป็นเหมือนจานดาวเทียมรับแรงสั่นสะเทือนและความถี่ต่าง ๆ ที่มากระทบ จึงเป็นทักษะที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเป็นนักล่าตามธรรมชาติและทำให้เป็นสัตว์เลี้ยงแสนรู้ประจำบ้านนั่นเอง

จะเห็นได้ว่า ธรรมชาติมีการออกแบบและวิวัฒนาการประสาทสัมผัสด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้กลิ่น การได้ยินทั้งของสุนัข แมว เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการมีชีวิตรอด และสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม จนกลายมาเป็นเพื่อนแสนรู้สี่ขาของคนเราตลอดจน ปัจจุบันนี้

ความสุขสร้างได้ แค่เลี้ยงสุนัขกับแมว

หลายคนเลี้ยงสุนัขและแมวไว้ในบ้าน รู้สึกว่าเติบเต็มครอบครัวให้มีความสุขและอบอุ่นมากขึ้น เป็นเรื่องจริงทีเดียว ผลการวิจัยของผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลี้ยงในสหราชอาณาจักรบ่งชี้ว่าการรับสุนัขและแมวเข้ามาเลี้ยงดูแล เป็นปัจจัยบวกทำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จ จากการศึกษาพบว่าการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงช่วยเพิ่มระดับความสุขและความสำเร็จในชีวิตมากขึ้นอีกระดับ ผู้เชี่ยวชาญที่สำรวจเจ้าของสุนัขและแมว 1,000 คนที่มีอายุเกิน 55 ปีและผู้ใหญ่วัยเดียวกันที่ไม่เลี้ยงสัตว์จำนวน 1,000 คนเท่ากัน พบว่าผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัวคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิต กลุ่มคิดบวกมีจำนวนมากเป็นสองเท่าของผู้ที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ชนิดใดเลย ผู้วัยเกษียณที่มีสัตว์เลี้ยงต่างก็มีรายได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้เลี้ยงสุนัขและแมว

นอกจากนี้คนรักสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มที่จะแต่งงาน มีบุตร จบปริญญาจากมหาวิทยาลัยและได้งานที่ดีทำตามความฝัน เจ้าของสัตว์เลี้ยงยังทำกิจกรรมออกกำลังกายมากเกือบสองเท่าของคนที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ สุขภาพดีกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเล่นกับสัตว์เลี้ยงเพิ่มอัตราการเต้นหัวใจ เลือดสูบฉีดแรง พาสุนัขไปเดิน เล่นกับแมว กระตุ้นการออกกำลังกายและทำให้มีความสุขมากขึ้น เป็นผลดีทั้งกับสัตว์เลี้ยงและผู้เป็นเจ้าของ ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าของสุนัขและแมว 9 ใน 10 เชื่อว่าสัตว์เลี้ยงของพวกเขาเป็นเพื่อนที่ส่งเสริมกิจกรรมผ่อนคลายความเครียด ดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ จึงเจียดเวลาเล่นสนุกกับสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ

งานวิจัยเรื่องการเลี้ยงสุนัข แมวส่งผลดีต่อเจ้าของสัตว์เลี้ยงสนับสนุนให้ที่มีอายุมากกว่า 55 ปี เริ่มต้นเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อนเพราะเห็นประโยชน์ในเชิงบวกได้มาก แม้แต่บ้านพักคนชราชั้นนำในสหราชอาณาจักรยังพิจารณานำสัตว์เลี้ยงเข้ามาช่วยบำบัดความเหงาให้ผู้สูงวัย ยอมรับให้เลี้ยงสัตว์ที่ได้รับการฝึกฝนให้มีมารยาทดีเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน เพื่อให้เจ้าของได้เพลิดเพลินกับสุนัข แมวและใช้ชีวิตในช่วงปีที่เกษียณอายุอย่างมีคุณภาพ บางกรณีมีการนำสุนัขและแมวที่เป็นโครงการอาสาสมัครเข้ามาให้ความบันเทิงกับผู้สูงวัยที่บ้านพักคนชราด้วย

นักวิจัยอธิบายว่าสัตว์เลี้ยงทำให้เจ้าของมีความสุข สนุกและหัวเราะมากขึ้น ผ่อนคลายความเหงาและบรรเทาความเครียดได้ เจ้าของสุนัขและแมวเกือบครึ่งยอมรับว่าสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนคุยแก้เหงา ได้พูดคุยปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึก คนชราถึง 16% ในผลการสำรวจนี้ยอมรับว่าถ้าไม่มีสัตว์เลี้ยงไว้คุยด้วยแล้ว พวกเขาก็ไม่รู้จะคุยกับใคร คนชรากว่าครึ่งของการสำรวจนี้ไม่เคยรู้สึกเหงาเพราะมีเพื่อนรักสี่ขาคอยเป็นเพื่อนอยู่แล้ว สุนัขและแมวช่วยกระตุ้นให้ผู้สูงวัยลุกขึ้นออกกำลังกาย หลายคนบอกว่าสัตว์เลี้ยงทำให้พวกเขามีจุดมุ่งหมายในชีวิต มีช่วงเวลาดี ๆ ด้วยกัน ไม่ได้ตื่นมาแล้วรู้สึกว่างเปล่าอีกต่อไป

สุนัข แมว เป็นโรคอ้วน อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

คุณเคยสงสัยไหมว่า สุนัข แมว ตัวกลมน่ากอดของคุณเป็นโรคอ้วนหรือเปล่า แมวเป็นโรคเบาหวาน สุนัขป่วยโรคมะเร็ง นกมีคอเลสเตอรอลสูง หรือแม้แต่กระต่ายที่ก้มลงเลียขนทำความสะอาดตัวเองไม่ได้ ทุกตัวเป็นโรคอ้วนเหมือนกันหมด เกิดจากสาเหตุใดกันแน่ น้ำหนักเกินและโรคอ้วนเป็นปัญหาใหญ่ ปัญหานี้พบมากในประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก

ดร. เออร์นี วอร์ด สัตวแพทย์ ผู้ก่อตั้งสมาคมป้องกันสัตว์เลี้ยงที่น่าสงสาร อธิบายว่า เรากำลังเผชิญปัญหาใหญ่ เพราะสัตว์เลี้ยงเกือบทั้งหมดในสหรัฐมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน สถิติล่าสุดเห็นชัดว่าสุนัขประมาณ 54% และแมว 59% มีพิกัดน้ำหนักเกินมาตรฐาน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสัตว์เลี้ยงเป็นโรคอ้วนแล้ว สำหรับสัตว์เลี้ยงทั่วไป เช่น สุนัข แมว แนะนำให้ดูไขมันหน้าท้อง ถ้าพุงย้วย ท้องห้อยหรือลากบนพื้น จับคลำไม่เจอซี่โครง มีแต่ชั้นไขมันนุ่ม ไม่เห็นเอว เริ่มส่อเค้าปัญหาโรคอ้วนแล้ว แต่ถ้าเป็นสัตว์แปลก เช่น นก กระต่าย หรือหนูตะเภา อาจจะสังเกตยาก ต้องไปหาสัตว์แพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์แปลกโดยเฉพาะ

การตรวจสอบว่าสัตว์เลี้ยงมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนหรือไม่ สัตวแพทย์ประเมินด้วยวิธีเช็คน้ำหนักส่วนเกิน เรียกว่า Body Condition Score หรือ BCS ซึ่งแบ่งความสมบูรณ์ของร่างกายออกเป็นระดับ อ้วนเกินไปไม่ได้และผอมเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน ทุกวันแมวเซเลบล้วนอ้วนท้วนน่ากอด ทำให้เจ้าของหลายคนบ่นกับสัตวแพทย์ว่า น้องผอมเกินไป ทำยังไงดี ทั้งที่จริง สุนัข แมว นั้นมีสุขภาพสมบูรณ์กำลังดี คุณอาจไม่รู้ว่าหมาแมวอ้วนที่ต้องควบคุมอาหารและลดความอ้วนนั้นเป็นงานหนัก เวลาเดินจะเห็นความลำบาก เหนื่อยง่าย เพราะพกน้ำหนักและไขมันส่วนเกินในช่องท้องไว้ตลอดเวลา ถ้าเจ้าของไม่ดูแลอย่างถูกวิธีจะอ้วนได้กระทั่งกระต่ายและนก น่าเศร้าที่สุดคือสัตว์เลี้ยงที่อ้วนจนยืนไม่ไหว ได้แต่นั่งหรือนอนหมอบอยู่ท่าเดียว ไม่คล่องตัว ไม่ปราดเปรียวและซุกซนเหมือนแต่ก่อน

โรคอ้วนในสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

สัตว์น้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และไม่น่ารัก เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้อายุสั้น การรักษาก็เสียเวลาและราคาแพง ละลายทรัพย์ในกระเป๋าสตางค์ไปไม่น้อย สัตว์เหล่านั้นจะทุกข์ทรมานจากน้ำหนักเกิน อาจเป็นโรคเบาหวาน , โรคความดันโลหิตสูง , โรคไต , โรคมะเร็ง , โรคกระดูกและข้ออักเสบจะเห็นความผิดปกติที่พบได้บ่อยคือโรคข้อเข่าเสื่อมทำให้เจ็บปวดและเป็นอัมพาตได้ สำหรับสัตว์เลี้ยงที่แปลก เช่น นก อาจเกิดปัญหาโรคหัวใจและแพทย์ไม่สามารถผ่าตัดหัวใจได้ ดังนั้นเจ้าของควรจะป้องกันและจัดการควบคุมน้ำหนักสัตว์เลี้ยงให้ดี ถ้า สุนัข แมว เริ่มอวบอ้วนเกินมาตรฐาน ควรพาไปตรวจเลือดและตรวจสุขภาพ ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายที่เหมาะสมเช่นเดียวกับ เพื่อลดน้ำหนักส่วนเกินและรักษาร่างกายให้แข็งแรง

แนะนำว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงควรทำตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ว่าจะให้อาหารแก่สัตว์เลี้ยงปริมาณมาน้อยขนาดไหน หากทนเสียงออดอ้อนไม่ไหว อาจทดแทนด้วยของว่าง เช่น แครอท , ถั่วเขียว , ผักกาดหอมหรือผักอื่นๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ เจ้าของต้องพาสัตว์เลี้ยงไปออกกำลังกาย กระตุ้นให้ตื่นเต้นและวิ่งสนุกไปรอบ ๆ ช่วยให้แข็งแรงและคุณภาพชีวิตดีขึ้น คุณควรสอบถามเรื่องน้ำหนักสัตว์เลี้ยงทุกครั้งที่ไปพบสัตวแพทย์ ถ้าแพทย์ท่านใดละเลย ไม่ต้องการจะคุยเรื่องนี้ ให้หาสัตวแพทย์คนใหม่ได้เลย

สุนัขเป็นโรคอ้วน

แบ่งปันเตียงให้ สุนัข แมว มีผลดีผลเสียอย่างไร

หลายคนยอมแบ่งปันเตียงให้สัตว์เลี้ยงนอนด้วย แต่ยังสงสัยว่าจะมีปัญหาสุขภาพหรือไม่ ช่วยให้คนหลับยากรู้สึกอุ่นใจ นอนเต็มอิ่มและหลับง่ายขึ้นจริงหรือ เราจะมาไขข้อข้องใจเรื่องนี้ให้ คำตอบขึ้นอยู่กับว่าคุณนอนกับ สุนัข แมว บ่อยแค่ไหน สมาคมสินค้าสัตว์เลี้ยงแห่งอเมริการายงานว่า ครอบครัวคนอเมริกันกว่า 60% มีสัตว์เลี้ยง ประมาณครึ่งหนึ่งแบ่งห้องให้สัตว์เลี้ยงนอนด้วย เจ้าของกว่า 45% ให้สุนัขนอนบนเตียง มีเพียง 17% ใช้ที่นอนสุนัข ส่วนแมวจะใกล้ชิดกับคนมากกว่า เจ้าของแมวที่เป็นผู้ใหญ่ 45% ให้แมวบนเตียง และอีก 13% ให้แมวนอนกับเด็ก เทียบกับในฝรั่งเศสและเยอรมนี มีเจ้าของสัตว์เลี้ยงเพียง 30% ชอบนอนกับ สุนัข แมว ส่วนสเปนมีเพียง 14% เท่านั้น

ความรู้สึกปลอดภัย การแชร์เตียงกับสัตว์เลี้ยงทำให้รู้สึกปลอดภัยทั้งทางอารมณ์และร่างกายในเวลากลางคืน เป็นเหตุผลที่หลายคนเลี้ยงสุนัขให้นอนใกล้ชิดกับตัวในขณะที่หลับซึ่งเป็นช่วงที่กำลังอ่อนแอที่สุด สัตว์เลี้ยงสามารถทดแทนคนที่อาศัยอยู่คนเดียว หรือเมื่อคู่รักอยู่ห่างออกไป

ลดความเครียด โรคนอนไม่หลับทำให้เครียด ซึมเศร้า วิตกกังวล อารมณ์เสีย สัตว์เลี้ยงช่วยให้สงบอกสงบใจและคลายความวุ่นวายทางอารมณ์ ช่วยลดความเครียดและหลับสบายในเวลากลางคืน

อบอุ่นและสบายใจ สัตว์เลี้ยงมีอุณหภูมิร่างกายที่อุ่นกว่าเรา เป็นเหมือนผ้าห่มที่อบอุ่น การหายใจเป็นจังหวะช่วยให้รู้สึกสบายใจ

ผูกพันกันมากขึ้น สุนัข แมว ชอบอยู่ใกล้เจ้าของ ยิ่งได้นอนหลับด้วยกันทำให้มีความสุขเช่นกัน เกิดความรู้สึกผูกพันกันมากขึ้น

ถ้ามองมุมกลับกัน ศูนย์นิทราเวชศาสตร์ที่เมโยคลินิกในเมืองสก็อตเดล มลรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เจ้าของส่วนใหญ่ชอบให้สัตว์เลี้ยงอยู่ด้วย รู้สึกอบอุ่นปลอดภัย นอนหลับง่ายขึ้น แต่กลับเป็นว่าผู้ป่วยที่นอนไม่หลับและเข้ารักษาตัวมากกว่าครึ่งมีปัญหาสัตว์เลี้ยงรบกวนให้ตื่นกลางดึก ทำให้นอนไม่เต็มอิ่ม คุณภาพการนอนไม่ดี

ขัดจังหวะการนอนหลับ เวลาหมา แมวขยับตัวจะปลุกให้รู้สึกตื่นขึ้น รบกวนการนอนหลับในเวลากลางคืน เรื่องนี้แก้ไขได้โดยใช้ที่นอน ให้อยู่ในห้องได้ แต่ไม่ใกล้จนเกินไป

เป็นก้างขวางคอคู่รัก สัตว์เลี้ยงเข้ามาขวางทำให้คู่รักห่างเหินกัน ต้องฝึกให้นอนหลับได้ทุกที่ นอนข้างเตียงก็ได้

คนที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอควรหลีกเลี่ยงการนอนกับสัตว์เลี้ยง เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยติดเชื้อโรคในสัตว์ป่วย ถ้าคุณกำลังเป็นไซนัส สัตว์เลี้ยงจะพยายามช่วยโดยการเลียน้ำมูกให้เปรอะเปื้อนเชื้อไซนัสกระจายไปทั่วใบหน้า เสี่ยงเกิดโรคการเสียชีวิตเฉียบพลันในเด็กทารก (SIDS) หรือเสี่ยงถูกกัดโดยไม่ตั้งใจ เพราะถ้า สุนัข แมว อาจเผลอทำร้ายเวลาฝันร้ายละเมอ ไม่ควรปล่อยให้นอนบนเตียงเดียวกับเด็กเล็ก

การนอนร่วมเตียงกับสัตว์เลี้ยงอาจเสี่ยงโรคติดเชื้อจากสัตว์สู่คน ซึ่งแม้จะเกิดขึ้นได้ยาก แต่มีโอกาสเป็นไปได้ เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบและปรสิต แม้จะเกิดขึ้นได้ยาก แต่เป็นไปได้ โรคแมวข่วนติดต่อจากหมัดแมวกัดเกิดการอักเสบรุนแรงที่ตับและม้าม อาจทำให้เสียชีวิตได้